#7
ออกจากตำหนักมาได้ไม่เท่าไหร่ ทั้งคู่ก็สวนกับซั่งกงและขันทีตำแหน่งสูงมากมาย รวมถึงองครักษ์หญิงฝ่ายใน เวินเหยาหยาและฉีซุนอี้หลบไปยืนด้านข้าง ยอบกายทำความเคารพ รอให้คนเหล่านั้นผ่านไป ถึงได้พากันเงยหน้ามอง ดูจากท่าทางรีบร้อนและทิศทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป เหยาหยาคาดว่าศพน่าจะถูกพบแล้ว
ฉีซุนอี้หน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบว่า “ข้าว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นซั่งกงคงไม่พาองครักษ์หญิงมามากมายถึงเพียงนี้”
เวินเหยาหยาดึงสายตากลับมาจากกลุ่มคน หันมามองฉีซุนอี้ กล่าวเตือนนางว่า “จะเรื่องอันใดก็แล้วแต่ หากไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา อย่าได้สอดรู้จะดีกว่า ยามนี้ต้าไฉเหรินพึ่งจะได้ถวายตัว สมควรต้องระวังให้มาก เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ฉีซุนอี้พยักหน้า กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น เหยาหยาค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง ทว่าในใจลึกๆ ยังมีความกังวลแฝงอยู่ ในคืนถวายตัวของต้าเหม่ยจวงกลับมีคนตาย เกรงว่าจะมิใช่เรื่องดี เบาสุดอาจเพียงแค่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ถ้าหนักสุด เหยาหยาไม่กล้าคิดต่อ ได้แต่หวังว่าบารมีของต้าเหม่ยจวงจะมีเพียงพอให้ต้านทาน
ทั้งสองเดินมายืนรอหน้าตำหนักหยวนเตี้ยน ไม่นานนางกำนัลประจำตำหนักก็มาพาพวกนางเข้าไปปรนนิบัติต้าไฉเหริน พอต้าเหม่ยจวงเห็นสหาย ความอัดอั้นที่มีมาทั้งคืนก็ถูกระบายออกมาเป็นน้ำตา ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่นางมิเคยได้ร่ำไห้หนักถึงเพียงนี้
ฉีซุนอี้เห็นแล้วตกใจยิ่ง รีบเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างแท่นบรรทมกำลังจะเอ่ยปากปลอบโยน ทว่าถูกเหยาหยาเอ่ยขัด “มีอันใดค่อยกลับไปคุยกันที่ตำหนัก ที่นี่หาใช่ที่ที่จะพูดจามากความได้”
เหม่ยจวงได้ยินอย่างนั้นก็รีบเช็ดน้ำตา เอื้อมมือไปตบหลังมือฉีซุนอี้เบาๆ พยักหน้าสองสามทีให้นางสบายใจ จากนั้นก็ให้ทั้งสองปรนนิบัติอาบน้ำแต่งตัว ทั้งสามพากันเดินกลับจากตำหนักหยวนเตี้ยนอย่างเงียบๆ มิได้ปริปากพูดจา
เดินมาได้ครึ่งทาง ฝีเท้าก็ต้องหยุดลง เพราะขบวนเสลี่ยงที่กำลังจะสวนมา เหม่ยจวงพาทั้งสองหลบไปยืนด้านข้าง เหยาหยาลอบมองไปยังขบวน นับจำนวนนางกำนัลและขันทีประจำตำแหน่ง พลางเอ่ยเตือนต้าเหม่ยจวงเสียงเบาว่า “ขบวนพระสนมขั้นเฟยเพคะ”
ด้วยความที่เหม่ยจวงยืนอยู่หน้าเหยาหยาและฉีซุนอี้ครึ่งก้าว นางจึงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ ไม่กี่อึดใจต่อมา ขบวนก็มาถึงเบื้องหน้า ต้าเหม่ยจวงพาทั้งสองยอบกายทำความเคารพ ก่อนจะยืนก้มหน้าหลุบตาต่ำ รอให้ขบวนผ่านไป ทว่าขบวนที่ว่ากลับหยุดลง
เสียงนางกำนัลรายงานให้สตรีที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงฟังว่า “คงเป็นต้าไฉเหรินเพคะ น่าจะพึ่งกลับจากตำหนักหยวนเตี้ยน”
เต๋อเฟยมองลงมาด้านล่าง กวาดมองต้าไฉเหรินตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เงยหน้าขึ้น”
เหม่ยจวงเงยหน้าตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ในใจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสนมขั้นสูงในเวลาเช่นนี้ ส่วนเหยาหยาลอบมองสำรวจสีหน้านางกำนัลที่เอ่ยปากเมื่อครู่ ครั้นเห็นแววตาของอีกฝ่ายแฝงด้วยความเย้ยหยัน พลันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
เต๋อเฟยส่งสัญญาณให้ขันทีวางเสลี่ยงลง จากนั้นก็ให้นางกำนัลประคองเดินเข้ามาหาต้าไฉเหริน เหยาหยาเห็นแล้วกังวลยิ่ง ไม่รอให้อีกฝ่ายเดินมาถึง นางรีบถลันกายเข้าไปประคองต้าเหม่ยจวง ยกฝ่ามือทาบลงบนหน้าท้องแอบใช้นิ้วโป้งกดแรงๆ ไปสองสามทีเพื่อเป็นการส่งสัญญาณ ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ต้าไฉเหรินปวดท้องอีกแล้วหรือเพคะ”
เหม่ยจวงหาใช่คนโง่ นางย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบงอตัว แสร้งทำหน้าเหยเก พยักหน้าให้เหยาหยา ฉีซุนอี้ที่ไม่รู้สถานการณ์รีบเข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วง
เห็นอย่างนั้น เต๋อเฟยก็หยุดยืนห่างจากต้าไฉเหรินไปราวสี่ก้าว ท่าทางระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการกระทำเช่นนี้นับว่ามิใช่เรื่องแปลก เพราะต้าเหม่ยจวงพึ่งผ่านการถวายตัวมาหมาดๆ หากมาเกิดเรื่องตอนพบปะกับเต๋อเฟย ข่าวลือเลวร้ายย่อมต้องตามมา
ต่างคนต่างต้องระวังซึ่งกันและกัน ต้าเหม่ยจวงต้องระวังไม่ให้ตกเข้าไปสู่แผนการของเต๋อเฟย ในทางกลับกันเต๋อเฟยก็ต้องระวังไม่ให้เดินเข้าไปเหยียบกับดักของตัวเอง
เหยาหยานับว่าแก้สถานการณ์ได้ดียิ่ง หากนางไม่ชิงกระทำ ไม่แน่ว่าวันนี้ ต้าเหม่ยจวงคงกลายเป็นสตรีกำเริบเสิบสานทำร้ายพระสนมเอกขั้นเฟยก็เป็นได้
ผ่านไปหลายอึดใจ มู่เต๋อเฟยก็เผยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยออกมา เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ดูท่าเจ้าคงจะปวดมาก รีบกลับไปพักที่ตำหนักเถิด เปิ่นกงจะสั่งให้คนไปตามหมอหลวง”
เวินเหยาหยาและฉีซุนอี้จึงไม่รั้งรอ ประคองต้าเหม่ยจวงยอบกายทำความเคารพ แล้วรีบจากไปทันที
หลังจากพวกนางไปแล้ว นางกำนัลประคองเต๋อเฟยกลับขึ้นไปบนเสลี่ยง พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ดูท่าว่าต้าไฉเหรินจะร้ายไม่เบาเลยเพคะ”
ได้ยินอย่างนั้น มุมปากของมู่หนงลี่เหยียดขึ้นเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น ไม่คิดเอ่ยวาจา ส่งสัญญาณให้ขบวนเคลื่อนที่
ทางด้านต้าเหม่ยจวง แสร้งเดินตัวงอให้เหยาหยาและซุนอี้ประคอง จนกระทั่งกลับถึงตำหนัก พอเข้าห้องมาได้ ก็พลูลมหายใจออกมาอย่างแรง นางกลับมายืนตัวตรง เดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนตั่ง กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ข้าพึ่งจะผ่านการถวายตัวมาแท้ๆ ความโปรดปรานยังมิทันมาถึงเลยด้วยซ้ำ เหตุใดนางต้องรีบเล่นงานข้าด้วย!”
ได้ยินอย่างนั้น ฉีซุนอี้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ”
ต้าเหม่ยจวงหันไปตอบนางว่า “เมื่อครู่นี้ หากว่าข้าไม่เสแสร้งแกล้งเจ็บปวด คงได้ตกไปในแผนชั่วของเต๋อเฟยเป็นแน่ อาอี้ เจ้าลองทบทวนดู ตำหนักของเต๋อเฟยตั้งอยู่ที่ใด แล้วนางจะไปที่ใด ถึงได้มาสวนทางกับพวกเราได้ ต่อให้นางคิดไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่จากตำหนักเปี้ยนหลุนไปยังสามตำหนักใหญ่ ก็มิได้ใช้เส้นทางนี้
ฉีซุนอี้ฟังแล้วตาโต ปากอ้าค้าง รีบถลันกายลงไปนั่งข้างตั่ง ถามอย่างร้อนรนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เต๋อเฟยเห็นต้าไฉเหรินเป็นศัตรูหรือเพคะ”
เหม่ยจวงพยักหน้าแทนคำตอบ สีหน้ายังคงแฝงไว้ด้วยความกรุ่นโกรธ
เหยาหยาเดินไปรินน้ำชาส่งให้ รอให้เหม่ยจวงจิบชาเสร็จ ถึงได้เอ่ยขึ้น “เต๋อเฟยท่าทางมิได้คิดเล่นงานต้าไฉเหรินเพราะความโปรดปรานเพคะ”
เหม่ยจวงมีสีหน้าแปลกใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “หากมิใช่เรื่องความโปรดปราน แล้วเจ้าคิดว่ายังจะมีเรื่องอันใดได้อีก”
เหยาหยาครุ่นคิดไปถึงแผนร้ายตั้งแต่ที่ต้าเหม่ยจวงก้าวเข้ามาเหยียบตำหนักเถาเตี้ยน ค่อยๆ ปะติดปะต่อแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน ไม่นานก็ได้ข้อสรุป หันไปตอบเหม่ยจวงว่า “หม่อมฉันคิดว่านางคือผู้บงการเบื้องหลังที่พวกเราตามหาเพคะ”
ต้าเหม่ยจวงนิ่วหน้ามองสบตาเหยาหยา ถามต่อไปว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเจ้าคิดว่านางมีเหตุผลอันใด ถึงได้ต้องการเล่นงานข้า”
“เรื่องนั้น หม่อมฉันยังคาดเดามิได้เพคะ” เหยาหยาตอบเสียงเรียบ จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่มีเรื่องใหญ่กว่าเรื่องของเต๋อเฟย ที่พวกเราต้องรีบเตรียมตัวรับสถานการณ์เพคะ”
ต้าเหม่ยจวงและฉีซุนอี้พากันมองไปที่เหยาหยาเป็นตาเดียว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมของนาง ทำให้ทั้งสองรู้สึกถึงความร้ายแรงในสิ่งที่นางกำลังจะกล่าว