#5
หลังจากจัดการเก็บเครื่องนอนเรียบร้อย เหยาหยารีบลุกไปล้างหน้าล้างตาพร้อมกับซุนอี้ สลัดเรื่องวุ่นวายออกจากหัว พยายามสงบจิตสงบใจ เตรียมน้ำอุ่นเข้าไปปรนนิบัติเหม่ยจวง ส่วนฉีซุนอี้ทำหน้าที่ออกไปเอาสำรับอาหารเช่นเดิม
ในห้องนอน ต้าเหม่ยจวงมองผ่านคันฉ่องไปยังเบื้องหลัง รอให้เหยาหยามวยผมจนเสร็จ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เหยาหยาแย้มยิ้ม ตอบไปว่า “คงเป็นเพราะเมื่อคืนหม่อมฉันนอนมิค่อยหลับเพคะ”
เหม่ยจวงพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ติดใจสงสัยอันใด
วันนี้ที่ห้องเครื่องราบรื่นดียิ่ง จนฉีซุนอี้รู้สึกประหลาดใจ ไม่เพียงนางกำนัลที่ทำหน้าที่แจกจ่ายสำรับจะเตรียมสำรับอาหารใส่ปิ่นโตให้นางอย่างดี ยังเอ่ยวาจาน่าฟังกับนางอีกหลายประโยค ดูไปคล้ายประจบประแจงอยู่บ้าง พอฉีซุนอี้กลับมาถึงตำหนัก ก็รีบนำเรื่องนี้มาเล่าให้เหม่ยจวงและเหยาหยาฟัง
ทั้งสองไม่ได้มีท่าทีแปลกใจ เพราะคาดเอาไว้อยู่แล้ว เหม่ยจวงบอกกล่าวกับซุนอี้ว่า “เรื่องนี้ไม่มีอันใดแปลก เมื่อวานคนเหล่านั้นคงมิได้สืบประวัติข้าโดยละเอียดถึงได้กล้ากลั่นแกล้งข้า พอรู้แล้ว ย่อมต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา วังหลังก็เป็นเช่นนี้ หาได้มีมิตรหรือศัตรูถาวร”
ฉีซุนอี้พยักหน้าเข้าใจ แม้นางจะมิใช่คนฉลาดนัก แต่ก็มิได้เป็นคนโง่เขลา บางเรื่องย่อมเข้าใจได้โดยง่าย
ราวยามห้ายของทุกวัน สนมตั้งแต่ขั้นสองขึ้นไปจะต้องไปถวายความเคารพแด่ฮองเฮา ยังดีว่าต้าเหม่ยจวงเป็นเพียงสนมขั้นห้า จึงไม่จำเป็นต้องไป เดิมทีนางคิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบอีกหลายวัน ทว่ากลับมีขันทีอัญเชิญรับสั่งจากไทเฮามาเยือนตำหนักเถาเตี้ยน ให้นางถวายตัวในคืนนี้
หลังจากที่ขันทีกลับไป เหม่ยจวงยังยืนนิ่งมิยอมขยับตัว ส่วนเป่าอิงจี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง เอ่ยเย้ยหยันกับตัวเองว่า “ข้าถูกเลือกมาเป็นไฉเหรินตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน เฝ้ารอว่าสักวันจะมีขันทีจากกองพิธีการมาเยือนตำหนัก ในที่สุดก็มีวันนั้น แต่ช่างน่าขัน ที่ขันทีผู้นี้มิได้มาเพื่อข้า”
ต้าเหม่ยจวงไม่ได้ผินหน้าไปมองนาง เพียงถอนหายใจเบาๆ กล่าวอย่างเลื่อนลอยว่า “คนอยากไปมิได้ไป แต่คนไม่อยากไปกลับได้ไป”
เป่าอิงจี่แค่นยิ้ม มิได้คิดผินหน้าไปมองเหม่ยจวงเช่นกัน ก่อนที่เป่าอิงจี่จะเดินกลับไปห้องทางปีกขวา นางเอ่ยกับเหม่ยจวงอย่างไร้สุ้มไร้เสียงว่า “ข้าคงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าแล้ว”
เหม่ยจวงกะพริบตาสามครั้ง เป็นการตอบรับ โดยไม่ให้ว่านฉงที่ยืนอยู่เบื้องหลังเห็น
เวินเหยาหยาเดินเข้าไปประคองเหม่ยจวงกลับห้องทางปีกซ้าย พอเข้ามาได้ เหม่ยจวงก็ทิ้งตัวลงบนตั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
ต้าเหม่ยจวงเป็นเด็กสาวรักอิสระ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมตามใจ ย่อมมิชอบการถูกบังคับ ตั้งแต่ที่เข้าวังมา แผนการของนางมีอยู่อย่างเดียว คือหลีกเลี่ยงการถวายตัว ทว่าสุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น
ฉีซุนอี้เห็นสีหน้าของนางดูไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างตั่ง เอื้อมมือไปกุมมือของเหม่ยจวงเอาไว้ กล่าวปลอบโยนว่า “ต้าไฉเหริน อย่าได้กังวลไปเลยเพคะ มีไทเฮาคอยสนับสนุนเยี่ยงนี้ ย่อมมิมีผู้ใดกล้ามารังแก”
เหม่ยจวงส่ายหน้า สายตาจะจับจ้องไปยังผนังราวกับจะมองให้ทะลุ ยังคงกล่าวอย่างเลื่อนลอยว่า “อาอี้ เจ้ายังไม่เข้าใจ ฝ่าบาททรงมีรักมั่นต่อฮองเฮา มิมีหญิงใดสามารถเข้าไปอยู่ในพระทัยได้ ถวายตัวแล้วอย่างไร ที่ได้รับกลับมาย่อมมีแต่ความอิจฉาริษยาของสตรีครึ่งค่อนวัง เจ้าคิดว่าไทเฮาจะทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยข้ากระนั้นหรือ ผิดแล้ว ไทเฮาไม่มีทางจะทำเช่นนั้น หลังจากผ่านคืนนี้ไป เกรงว่ามรสุมลูกใหญ่นี้ พวกเราคงต้องฝ่าฟันกันเอง ยิ่งข้าไม่สามารถคว้าพระทัยของฝ่าบาทมาครองได้ ไทเฮาจะยิ่งละเลยข้า”
ฉีซุนอี้ฟังแล้วรู้สึกตกใจยิ่ง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “บางที ต้าไฉเหรินอาจจะกังวลมากไปก็ได้นะเพคะ”
เหม่ยจวงส่ายหน้าอีกครั้ง เผยรอยยิ้มสมเพชตัวเองออกมา เหยาหยาที่ยืนเงียบมานานเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องราววันข้างหน้ายังไม่แน่นอน ต้าไฉเหรินอย่าได้กังวลใจจนลืมสติ ยามนี้พวกเรามิต่างอันใดกับยืนอยู่บนยอดเขาอันหนาวเหน็บ สมควรต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นอาจพลาดท่าเสียทีได้เพคะ”
วาจาของเหยาหยา ทำให้ต้าเหม่ยจวงเริ่มคิดได้ ทั้งสองมองสบตากัน เวินเหยาหยากล่าวต่อไปอีกว่า “หากจัดอันดับบุรุษที่ไร้ใจที่สุดในแผ่นดิน ถ้าคนผู้นั้นเป็นที่สองย่อมมิมีที่หนึ่ง ต้าไฉเหรินจะแน่ใจได้อย่างไรเพคะ ว่าข่าวลือที่ฟังมาจะเป็นเรื่องจริง บางที คำว่ามีรักมั่นนั้น อาจเป็นเพียงเรื่องตบตาผู้คน”
เหม่ยจวงฟังแล้วรู้สึกว่าคำพูดของเหยาหยามีเหตุผล ความกังวลบนใบหน้าจึงคลายลง หันไปกล่าวกับเหยาหยาว่า “ขอบใจมากนะอาหยาที่ช่วยเตือนสติข้า เป็นข้ากังวลเกินไปจริงๆ”
ต้าเหม่ยจวงสงบจิตสงบใจได้ในที่สุด ทว่าในใจของเวินเหยาหยากลับมิอาจสงบโดยง่าย นางยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ในเวลานี้ เพราะเกรงจะถูกจับได้เรื่องเมื่อคืน
ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ เหยาหยาพลันคิดไปถึงผิวพรรณของตัวเอง มีทางเดียวคือต้องขัดสีผิวให้กลับมามีสภาพดังเดิม อย่างน้อยคงพอจะช่วยได้บ้าง คิดแล้ว นางจึงหันไปบอกกับเหม่ยจวง “หม่อมฉันคงต้องรีบคืนสภาพสีผิวแล้วเพคะ หลอกลวงฮ่องเต้คงมิใช่เรื่องดี อาจมีคนนำเรื่องของหม่อมฉันมาเล่นงานต้าไฉเหรินในภายหลัง”
เหม่ยจวงพยักหน้าเห็นด้วย กล่าวเสียงจริงจังว่า “เจ้าพูดถูก รีบไปจัดการตัวเองเถิด จากนี้ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ต้องระวังให้มาก” เอ่ยจบเหม่ยจวงก็หันไปทางซุนอี้ “เจ้าก็ด้วยนะอาอี้”
“เพคะ” ซุนอี้รับคำ
เหยาหยาใช้เวลานานพอดู กว่าจะขัดผิวให้กลับมาขาวผุดผ่องดังเดิม ในตอนที่ต้าเหม่ยจวงกับฉีซุนอี้ได้เห็นนางอีกครั้ง ถึงกับพากันตกตะลึง ฉีซุนอี้รีบเดินเข้าไปมองใกล้ๆ ถลกแขนเสื้อของเหยาหยาขึ้น ลูบไปตามเรียวแขนนวลเนียนของนางอยู่นานสองนาน เอ่ยซ้ำๆ ออกมาสองคำ “งามยิ่ง”
เหม่ยจวงแย้มยิ้มมองด้วยความภูมิใจ ถึงแม้จะพอคาดเดาความงามของอีกฝ่ายได้ แต่ยังนึกไม่ถึงอยู่ดี ว่าเหยาหยาจะงดงามถึงเพียงนี้ เหม่ยจวงกล่าวหยอกล้อว่า “ตอนนี้ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องปิดบังความงามของตัวเอง หากคนเหล่านั้นเห็นเจ้าในสภาพนี้ คงถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกเป็นแน่”
เหยาหยายิ้มรับ กล่าวว่า “จากนี้ หม่อมฉันคงต้องขอพึ่งบารมีต้าไฉเหรินแล้วเพคะ”
เหม่ยจวงโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “อาหยาอย่าได้เอ่ยหนักเช่นนั้น ในยามนี้ เจ้ากับอาอี้คือครอบครัวเดียวที่ข้ามี ข้าย่อมต้องปกป้องครอบครัวของข้า”
เวินเหยาหยาและฉีซุนอี้ยอบกายให้เหม่ยจวงคราหนึ่งพลางเอ่ยขอบคุณประสานเสียง
เมื่อเสร็จเรื่องของเหยาหยา ย่อมมาถึงเรื่องของเหม่ยจวง แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจถวายตัว ทว่าสิ่งที่ควรทำก็ยังต้องทำ ทั้งสามใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายเพื่อเสริมความงาม กระทั่งกูกูทั้งสี่มารับตัวเหม่ยจวงไป