#4
หลังจากที่ต้าเหม่ยจวงบอกความตั้งใจของตนเองเสร็จสิ้น เหวินเหยาหยาก็เอ่ยถึงเรื่องของเป่าไฉเหริน “ตอนที่หม่อมฉันออกไปช่วยอาอี้ เป่าไฉเหรินได้กล่าวความนัยฝากมาถึงต้าไฉเหรินประโยคหนึ่งเพคะ”
เหม่ยจวงมิได้มีท่าทีแปลกใจที่ได้ยิน เพราะนางเป็นคนหยิบยื่นไมตรีนั้นให้เป่าไฉเหรินเอง ยังดีที่อีกฝ่ายมิได้โง่เขลา
เวินเหยาหยาย่อมเข้าใจเจตนาของเหม่ยจวงเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวความนัยนั้นออกมาเป็นคำพูด ทว่าฉีซุนอี้กลับมีสีหน้างุนงงสงสัย รออยู่นาน ไม่เห็นว่าเวินเหยาหยาจะกล่าวต่อ นางก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “อาหยา เป่าไฉเหรินกล่าวว่าอันใดหรือ ตอนนั้นข้าก็อยู่ เหตุใดถึงไม่ได้ยิน”
เหยาหยายิ้มเล็กน้อย อธิบายให้ฉีซุนอี้ฟังอย่างใจเย็นว่า “ตอนที่ข้าไปช่วยเจ้า เป่าไฉเหรินได้กล่าวว่า ครั้งนี้นางจะไว้หน้าต้าไฉเหรินสักครา หวังให้ต้าไฉเหรินจดจำไว้ ประโยคนี้ คือความนัยที่ข้ากล่าวถึง”
ฉีซุนอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนเผลอยกมือเกาศีรษะ เห็นอย่างนั้น เหม่ยจวงจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “อันที่จริงเหตุการณ์ตอนนั้น ข้าสามารถออกไปปกป้องเจ้าในทันทีเลยก็ย่อมได้ แต่ที่ข้ารั้งรออยู่ เพราะต้องการดูท่าทีของเป่าไฉเหริน พอเห็นว่านางมิได้มีเจตนาเอาผิดกับเจ้า ข้าถึงค่อยให้อาหยาออกไป ที่ทำเช่นนั้น ทางหนึ่งคือยื่นไมตรีให้เป่าไฉเหริน อีกทางหนึ่งคือต้องการฝึกฝนเจ้า ข้าอธิบายเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ฉีซุนอี้ประเดี๋ยวส่ายหน้าประเดี๋ยวพยักหน้า ไม่กล้าตอบว่าเข้าใจ ทั้งยังกล่าวมิได้ว่าไม่เข้าใจ
เหม่ยจวงกับเหยาหยาเลยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มอย่างขบขัน ปล่อยให้ซุนอี้คิดทบทวนด้วยตัวเอง เหยาหยาลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าปักผ้ามาส่งให้เหม่ยจวง จากนั้นก็ออกไปจัดของตกแต่งในตำหนักปีกซ้ายเสียใหม่ เริ่มตั้งแต่เปลี่ยนม่านมู่ลี่ เปลี่ยนกระถางต้นไม้ จัดสลับตำแหน่งแจกันและของประดับ ผ่านไปพักใหญ่ฉีซุนอี้ถึงได้ตามออกมา
ดูจากสีหน้าแล้ว เหยาหยาคิดว่าซุนอี้ไม่น่าจะเข้าใจความซับซ้อนของวังหลังได้รวดเร็ว เกรงว่าคงต้องเรียนรู้อีกนานเลยทีเดียว
คืนแรกในตำหนักเถาเตี้ยน เวินเหยาหยาและฉีซุนอี้นำฟูกมาปูนอนบนตั่งหน้าห้องนอนของต้าเหม่ยจวง ไม่ต่างจากนางกำนัลทั่วไป ทว่าเหยาหยากลับหลับไม่สบายนัก ผิดกับฉีซุนอี้ที่หลับใหลไปตั้งแต่หัวค่ำ พอเริ่มจะเคลิ้มหลับ ภาพศีรษะของพี่ชายที่ขาดกระเด็นออกจากร่างพลันปรากฏขึ้นในหัว ตามมาด้วยภาพของบิดาที่นอนตายตาไม่หลับ ไปจนถึงภาพของมารดาก่อนสิ้นลม
เวินเหยาหยาสะดุ้งตื่น ลืมตาโพลง หายใจหอบแรง หยดน้ำใสไหลปริ่มออกมาจากหางตา ผ่านไปพักใหญ่ ลมหายใจถึงได้กลับมาสงบดังเดิม เหยาหยาค่อยๆ ขยับตัวออกจากผ้าห่ม หย่อนเท้าสองข้างลงจากตั่ง สายตามองฝ่าความมืดไปรอบๆ เห็นว่าคืนนี้แสงที่เล็ดลอดเข้ามาจะสว่างกว่าทุกคืน จึงเอื้อมมือไปควานหาปิ่นไม้ที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมามวยผมอย่างลวกๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง
ลมฤดูใบไม้ผลิโชยมาอ่อนๆ พัดกระดิ่งลมตรงเฉลียงหน้าตำหนักดังขึ้นเบาๆ แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องให้มองเห็นไปทั่วบริเวณ เวินเหยาหยากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกเหงาหงอย คิดถึงครอบครัวที่จากไปอย่างยิ่งยวด กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่บนสะพานกลางน้ำ อารมณ์เศร้าหมองพลันมลายหายไป กลายเป็นความสงสัยเข้ามาแทนที่ คล้ายว่าเมื่อช่วงกลางวันนางจะมิทันได้สังเกตว่าตำหนักเถาเตี้ยนอยู่ห่างจากสะพานกลางน้ำไม่ไกล
เหยาหยาย้อนคิดไปถึงเรื่องที่ฉีซุนอี้เคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าสะพานตรงหน้าจะใช่สะพานในคำร่ำลือนั้นหรือไม่ คิดแล้วเหยาหยาก็เงยหน้ามองพระจันทร์ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงดงามยิ่ง ส่องสว่างสุกสกาวไปทั่วท้องฟ้า บดบังรัศมีดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียง ชั่วขณะหนึ่ง ในหัวของนางพลันรู้สึกว่างเปล่า เผลอก้าวเดินตรงไปยังสะพานโดยไม่รู้ตัว
สะพานกลางน้ำกว้างราวหนึ่งจั้งสร้างจากไม้แดง ราวสะพานสูงห้าฉื่อ เวินเหยาหยาเดินมาหยุดยืนชิดราวสะพาน มองเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำ ความงดงามที่เห็นทำให้ลืมทุกข์โศก นางมิรู้สึกแปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะชอบเสด็จมาเยือนที่นี่ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เพราะบรรยากาศบนสะพานสามารถทำให้จิตใจว้าวุ่นสงบลงได้ เฉกเช่นนางในตอนนี้
เวินเหยาหยาเหม่อมองไปยังดวงจันทร์ หวนคิดถึงชีวิตในวัยเด็ก เมื่อก่อนนางเคยเชื่อว่ามีกระต่ายอยู่บนนั้น จนถึงขั้นร้องห่มร้องไห้รบเร้าให้พี่ชายปีนขึ้นไปเอามาให้ คิดแล้ว ก็ยกนิ้ววาดไปตามรูปที่เห็น
จะว่าไป จนถึงตอนนี้ นางยังมองเห็นกระต่ายตัวนั้นอยู่เลย เหยาหยาส่ายหน้าพลางยิ้มขบขันกับตัวเอง เก็บมือกลับ ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินกลับตำหนัก ชั่วขณะที่นางหันกลับมา ก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ร่างเซไปพิงราวสะพานเกือบจะพลัดตก ยังดีว่าได้วงแขนแกร่งของใครบางคนช้อนแผ่นหลังเอาไว้ จึงมีเพียงปิ่นไม้ที่หลุดจากมวยผมร่วงลงไปแทน
เวินเหยาหยาตื่นตระหนกตกใจอย่างที่สุด ลืมแม้กระทั่งความใกล้ชิดอันมิบังควรระหว่างชายหญิง เส้นผมที่ไร้ปิ่นปักยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ดำขลับเป็นเงางามสะท้อนแสงจันทร์
กว่าที่นางจะสงบลงได้ใช้เวลาไปพอควร ครั้นคิดได้ว่าตนเองกำลังถูกบุรุษโอบกอด ในใจพลันตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
ยามค่ำคืนในเขตพระราชฐานชั้นใน จะมีบุรุษใดบ้างที่สามารถเข้ามาเดินเพ่นพ่านได้ นอกเสียจาก..... คิดมาถึงตรงนี้ เวินเหยาหยาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง ได้แต่ค่อยๆ ขยับกายออกห่าง ทว่าเขากลับไม่ยอมปล่อยนางโดยง่าย ไม่เพียงนางจะขยับตัวออกมามิได้ ยังถูกเขารั้งร่างกลับเข้าไปแนบชิดยิ่งกว่าเก่า
เสียงทุ้มนุ่มแฝงไว้ด้วยความเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะ “มิใช่ว่าเจ้าเจตนามาดักรอเจิ้นอยู่หรือ?”
มาถึงตอนนี้ ย่อมเป็นที่แน่นอนแล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด และนางกำลังถูกฮ่องเต้เข้าพระทัยผิด เหยาหยารีบส่ายหน้า ละล่ำละลักตอบกลับไปว่า “ทูลฝ่าบาท มิใช่เช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่เห็นพระจันทร์งดงามเลยเผลอเดินมาที่นี่โดยมิรู้ตัว”
พอนางเอ่ยจบประโยค เสียงสวบสาบคล้ายเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายเผลอ เหยาหยารีบผละออกจากวงแขน วิ่งหนีไปทิศทางตรงข้ามกับตำหนักเถาเตี้ยน เข้าไปในป่าหลังวัง แอบอยู่นาน รอจนกระทั่งพระจันทร์ตรงศีรษะถึงได้เดินลัดเลาะกลับตำหนัก
หลังจากที่สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เหยาหยายังมิอาจข่มตาหลับ ได้แต่ภาวนาให้ฮ่องเต้จดจำนางมิได้ พอนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา จิตใจพลันรู้สึกหนาวเหน็บ ฝ่ามือเย็นเยียบ
เรื่องนี้หากมีคนรู้เข้าย่อมเป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นถูกลงโทษโบยจนตาย ยิ่งคิดเวินเหยาหยาก็ยิ่งกังวล กว่าจะหลับลงได้ก็ใกล้ฟ้าสว่าง ตื่นมาอีกทีตอนที่ซุนอี้ขยับตัว นางเอื้อมมือไปควานหาปิ่นไม้ตามความเคยชิน ครั้นนึกได้ว่าปิ่นที่มารดามอบให้ร่วงหล่นลงไปในสระไท่เย่เมื่อคืน ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้ง สีหน้าแลดูไม่ดีนัก