บทที่ 3 แคว้นฉิน
หลังจากที่ชุนจินเสียพ่อไป เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้เริ่มฝึกวิชาที่ตนเคยฝึกมาเมื่อชาติที่แล้วโดย ใช้ความเข้าใจทั้งหมดเรียงลำดับการฝึกใหม่ จากง่ายไปยากและความสำคัญของการฝึกวิชา เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยฝึกเพียง พลังปราณและพลังกายเป็นส่วนมากแล้วสร้างความสมดุลของร่างกาย โดยไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์เลยสักนิด เพราะวิชายุทธ์ทั้งหมดนั้นชุนจินได้จดจำและเข้าใจถ่องแท้หมดแล้ว เหลือเพียงแต่ฝึกพลังปราณให้กล้าแข็งพอที่จะใช้วิชาเหล่านั้นได้และฝึกฝนร่างกายที่สามารถรองรับพลังปราณและกระบวนท่าต่างๆได้นั้นเอง
ณ กลางป่า
ชุนจินนั่งบนแท่นหินขนาดใหญ่นั้นทำสมาธิฝึกจิตเสริมพลัง และดูดซับพลังธรรมชาติ ร่างของชุนจินนั้นมีพลังสีขาวปรกคลุมทั้งร่างกาย ไม่นานนักก็ลืมตาขึ้นมา
" ดีล่ะ พลังปราณของเราเริ่มบริสุทธิ์และเข้มข้นเรื่อยๆแล้ว แต่การที่จะดูดซับพลังธรรมชาติแล้วมาสกัดและบีบอัดให้เป็นปราณบริสุทธิ์เนี้ยวุ่นวายจริงเลยนะ... อ่ะ.. จริงสิ เรามีวิชานั้นอยู่นี้หว่า.. แต่ว่าวิชานั้นเมื่อชาติที่แล้วทำเราเป็นหมัน ทำให้เราไม่สามารถมีทายาทเพื่อสืบทอดวิชาด้วยสิ " ชุนจินคิดในใจแล้วนั้นครุ่นคิดสักพัก ก็สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของวิชานี้ได้ทันที
" จริงสิ วิชาวิถีแห่งปราณ ที่ไม่สมบูรณ์ในครั้งนั้น ก็เพราะเราดูดซับพลังไปฝึกวิชานี้ไป คิดว่ามันจะดี แต่ก็ดีจริงๆนั้นแหละ แต่ว่าพลังที่พึ่งดูดซับเข้าไปทำให้ความสามารถของ วิชาวิถีแห่งปราณ ที่มีความสามารถในการคัดพลังปราณบริสุทธิ์แล้วบีบอัดเพิ่มความเข้มข้นของพลังปราณโดยที่เราทำแค่ดูดซับพลังเท่านั้น เมื่อวิชาไม่สมบูรณ์ จึงทำให้พลังปราณที่ไม่บริสุทธิ์เข้ามาในร่างกายจนธาตุไฟเข้าแทรก จนต้องสังเวยบ้างสิ่งบ้างอย่างของร่างกายออกไป ตอนนั้นเราคิดว่า ไอ้นั้นมันไม่สำคัญจึงสังเวยมันไป เห้ย~~~ แต่ยังดีที่ยังฉี่ได้อยู่อ่ะนะ แต่ครั้งนี้ล่ะ เราจะไม่ห้าวเหมือนคราวก่อน ต้องทำตามขั้นตอน ต้องทำตามขั้นตอน " ชุนจินคิดในใจแล้ว เริ่มฝึกวิชาทันที
5 ปีผ่านไป
ณ เมืองหลวง แคว้นฉิน ท้องพระโรงกลางวัง
ด้านในท้องพระโรงตกแต่งด้วยสีทอง สีแดง และสีขาว ตรงกลางด้านในสุดเป็นบัลลังก์มังกรทองผู้ที่ทรงประทับอยู่นั้นคือ ฮ่องเต้ฉินจือฉิง ฮ่องเต้ลำดับ 11 ของแคว้นฉิน ชายวัยกลางคนไม่มีหนวดเครารูปร่างดีอายุประมาณสี่สิบปี ใส่ชุดสีดำลายมังกรสีทอง กำลังอ่านราชสารพร้อมจองมองเหล่าขุนนางด้วยความตึงเครียด ผู้ที่นั่งอยู่เก้าอี้ลายหงส์ทองข้างๆ ด้านขวาของฮ่องเต้คือ ฮองเฮาหยินเฟินปิง หญิงงามผิวขาวเนียนผมสีน้ำตาลใส่ชุดสีแดงอ่อนลายหงส์อายุประมาณสามสิบต้นๆ ลงมาด้านซ้ายของฮ่องเต้ มีคนที่ยืนอยู่สามคน หนึ่งคือองครัชทายาทฉินจิง ชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีดำใส่ชุดสีฟ้าขาวอายุยี่สิบเอ็ดปี สองคือองค์ชายรองอายุสิบเก้าปี หน้าตาดีผมสีน้ำตาลมัดมวยผมคิ้วขวามีแผลเป็น ใส่ชุดเกราะสีเงินเสื้อซับด้านในสีแดง ยืนด้วยความองอาจ สามคือองค์หญิงฉินฮวาอายุยี่สิบสามปีสาวงามผิวพันขาวผ่อง ใบหน้าสดใสตาคม ผมยาวสีดำสนิท ใส่ชุดสีขาวเขียวลายดอก แสดงกิริยาอ่อนนอมยิ้มที่มุมปาก
ส่วนด้านหน้าของฮ่องเต้คือเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ยืนเรียงแถวเต็มท้องพระโรง ซึ่งผู้ที่อยู่ด้านหน้าของเหล่าขุนนางนั้นคือ มหาเสนาบดีหยินชง ชายวัยหกสิบปี หน้าตาเรียบเฉยมีหนวดมีเครายาวสีน้ำตาลอ่อน ใส่ชุดขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นสีแดงลายด้านหน้าเป็นรูปนกกระเรียนหัวแดงซึ่งบอกถึงระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของขุนนาง ส่วนอีกคนหนึ่งที่ยืนขางกันนั้นคือผู้บัญชาการทหารสูงสุดเจียงจวิน ชายวัยห้าสิบหกปี หน้าตาเคร่งครึมท่าทางน่าเกรงขามมีหนวดเคราสีดำ ใส่ชุดขุนนางสีแดง ด้านหน้าลายกิเลนไฟ บอกถึงตำแหน่งการทหารสูงสุด ทั้งสองยืนด้านหน้าเหล่าขุนนางทั้งหมด ฮ่องเต้อ่านราชสารเสร็จก็วางไว้ที่ตักของพระองค์
" บัดนี้ อ๋องเอี้ยซังเถาะ เจ้าเมืองเอี้ย ได้ก่อการกบฏไล่ชาวเมือง ขุนนางและทหาร ที่ไม่เห็นด้วยกับตนออกจากเมือง พอมีคนต่อต้านก็ถูกสังหารสิ้น ผู้คนที่ออกจากเมืองเอี้ย ก็ได้ไปรวมกันที่เมืองอิง แล้วอ๋องเอี้ยซังเถาะ ก็ได้จ้างกลุ่มโจรภูเขาและนักโทษในเมืองมาเป็นทหารเสริมกำลังให้กับตน ส่วนทหารและขุนนางที่ยังภัคดีกับอ๋องเอี้ยซังเถาะก็ยังมีอยู่ไม่น้อย อ๋องเอี้ยซังเถาะเป็นคนฉลาดทำทีปล่อยคนแล้วเอาคนของตนแทรกซึมในกลุ่ม เมื่อเข้าเมืองได้ก็ให้พวกที่แทรกซึมส่งข่าวแก่อ๋องเอี้ย แล้วรออ๋องเอี้ยยกทัพมาโจมตี แล้วค่อยเข้าตะหลบหลังจากในเมือง หึ หึ หึ ท่านทั้งสองคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ " ฮ่องเต้พูดพรางยิ้ม มหาเสนาบดีหยินชงและผู้บัญชาการทหารสูงสุดเจียงจวิน กุมมือแล้วพูด
" ถูกต้องแล้วพะยะค่ะ "
" ทูลฝ่าบาท เช่นนี้แล้ว กระหม่อมขอเสนอตัวนำทัพหลวงไปปราบกบฏด้วยเถอะพะยะค่ะ " ท่านเจียงจวินพูดด้วยเสียงนักแน่น
" กระหม่อมก็ขอเสนอตัวนำทัพหลวงไปปราบกบฏเช่นกันพะยะค่ะ " ท่านหยินชงเดินออกมาพูดเช่นกัน เจียงจวินที่ได้ยินก็มองหยินชงด้วยหางตา
" ท่านหยินชง ท่านเป็นถึงผู้นำของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ส่วนข้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ท่านไม่ต้องลำบากไปหรอก เพราะฉนั้นฝ่าบาทโปรดให้กระหม่อมนำทัพด้วยเถอะพะยะค่ะ " เจียงจวินพูดพร้อมโค้งตัวลงเล็กน้อย
" หึ หึ หึ ไม่ลำบากข้าหรอก ตำแหน่งของท่านข้าเคยเป็นมาก่อนเรื่องออกรบในตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านหรอกนะ แล้วข้าก็ยังจำวันเวลาที่ท่านมาเป็นผู้ช่วยให้กับข้าในยามนั้นได้ดีอยู่ แล้วท่านคงไม่ลืมนะว่าท่านก็เป็นขุนนางเช่นกัน " หยินชงพูดพร้อมยิ้ม
" นี่ท่าน ..!!!! "
" เอาล่ะ.. เอาล่ะ.. ข้ารู้ว่าพวกท่านอยากจะช่วยบ้านเมืองปราบกบฏ แต่ข้าได้เห็นฝีมือของพวกท่านมาแล้ว และข้าก็รู้ดีว่าพวกท่านเก่งกาจเพียงใด แต่สิ่งที่ข้าต้องการอยากเห็นคือ เหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่ได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพ ข้าจึงอยากจะเห็นความสามารถของพวกนั้นบ้าง ในภายภาคหน้าพวกมันจะได้เป็นหลักให้กับบ้านเมืองได้บ้าง " ฮ่องเต้พูดพร้อมยิ้ม
" เสด็จพ่อ เช่นนั้นข้าขอนำทัพไปปราบกบฏด้วยเถอะพะยะค่ะ " องค์ชายรองฉินจวินกุมมือพูด
" ได้ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำทัพหลวงไป แต่ก่อนที่ทัพหลวงจะไปถึง พวกกบฏคงเข้าโจมตีเมืองอิงจนแตกพ่ายก่อน แล้วประชาชนคงล้มตายเป็นจำนวนมากแน่ ข้าจึงอยากให้พวกท่านทั้งสองเสนอชื่อมาว่าจะให้ใครเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อควบคุมสถานะการณ์ในตอนนี้ " ฮ่องเต้พูด ขุนนางใหญ่ทั้งสองจึงเสนอชื่อทันที
" กระหม่อมขอเสนอหลานชายของข้า หยินซวน ศิษย์เอกปรมาจารย์ฮั้วเวินยอดฝีมือวิชาทวนที่เก่งที่สุดของแคว้นฉิน และศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันหยวนหวินลูกชายเสนาบดีกลาโหมหยวนซู กระหม่อมขอเสนอทั้งสองคนพะยะค่ะ " หยินซงพูด
" กระหม่อมขอเสนอ เจียงหลุน หลานชายของกระหม่อม ซึ่งกระหม่อมได้สั่งสอนวิชายุทธ์ด้วยตัวกระหม่อมเองพะยะค่ะ " เจียงจวินพูด
" ดี ดี คนที่พวกท่านเสนอชื่อมานั้นข้าก็ได้ยินเรื่องความสามารถมาบ้างแล้วในการปราบกองโจร แต่ยังไม่มีโอกาสแสดงความสามารถออกมาในสงคราม ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสของทั้งสามคน " ฮ่องเต้พูดจบก็หยิบราชโองการสองฉบับออกมาแล้วยื่นให้ ขันทีแก่ผมขาวอายุหกสิบตำแหน่งเจ้ากรมวังหลวงหรือหัวหน้าเหล่าขันที ชื่อ กุ้ยซี แล้วกุ้ยซีก็นำราชโองการให้แก่ขุนนางใหญ่ทั้งสอง
" นั้นคือราชโองการในการรวบรวมทหาร เจียงหลุนนำทหารในสังกัดหนึ่งร้อยนายไปที่เมืองเหวยและหยินซวนกับหยวนหวินนำทหารในสังกัดหนึ่งร้อยนายไปที่เมืองหาน ทั้งสองกองเดินทางม้าเร็วไป รวบรวมทหารและเกณฑ์ทหารอาสาด้วยความสมัครใจ แล้วนำกำลังพลไปร่วมกันต้านทัพของกบฏหากพวกกบฏบุกล้ำเข้ามาในเขตแดนเมืองอิงให้จัดทัพไปขับไล่ทัพกบฏออกไปทันทีและต้านพวกกบฏไม่ให้เข้ามาในเขตแดนเมืองอิงและห้ามนำทัพบุกโจมตียึดเมืองเอี้ยเด็ดขาดจนกว่าทัพหลวงจะไปถึง ข้าต้องการให้เดินทางในวันนี้ทันที เอาล่ะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองซะ " ฮ่องเต้พูดจบ ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากบัลลังก์พร้อมฮองเฮาและหัวหน้าขันที
" รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ !!! " ขุนนางใหญ่ทั้งสองพูดพร้อมกัน แล้วขุนนางก็เดินออกจากท้องพระโรง ทั้งสองขุนนางใหญ่เดินออกมาโดยไม่สบตากันเลยสักนิด