บทที่ 3...จอมขวัญเจ้าบัลลังก์ทราย...
“คนของพ่อไปทันได้ช่วยลูกกับมารีอาเอาไว้ได้ หลวงพ่อฟรานซิสได้เดินทางไปรับลูกด้วยตัวเอง แล้วนำมาเลี้ยงดูในโบสถ์แห่งนี้ แต่ที่พ่อไม่เคยมาเยี่ยมมาดูด้วยตัวเอง เพราะทางผู้ปองร้ายยังติดตามข่าวของลูกอยู่ตลอด แต่ก็ให้มารีอาหรือมาเรียมาเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลและส่งข่าวให้พ่อรู้บ้างตามความจำเป็น เพราะการติดต่อกันบ่อยครั้งจะทำให้ผู้ปองร้ายรู้แหล่งพำนักของลูกได้ แต่พ่อไม่เคยหยุดรักห่วงใยในตัวลูกเลย...ลูกรัก...”
สาวน้อยหันไปมองพี่เลี้ยงที่ยังยืนหลุบตาต่ำไม่ยอมสบตาผู้ใด เธอเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า ทำไมมาเรียจึงบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงกำเนิดของตน และยังมีการสอนเกี่ยวกับข้อปฏิบัติทางศาสนาทางแถบถิ่นนี้ให้อย่างละเอียดลออจนเธอเคยนึกสงสัยอยู่หลายครั้ง แต่นางก็อ้างว่า เอาไว้เป็นความรู้ติดตัว เพราะโบสถ์แห่งนี้ก็อยู่ในสังคมของพวกเขา
“แล้วใครคือผู้ปองร้าย ใครกันคะที่ฆ่าแม่ ทำไมพวกเขาต้องการฆ่าผู้หญิงกับเด็กด้วย”
สาวน้อยเงยหน้ามองสบตาผู้ที่อ้างว่าเป็นพ่อ เห็นพระเนตรน้ำตาคลอคลองก็ชะงักงัน พลันใจที่อ่อนไหวก็อ่อนยวบยอมรับความรู้สึกลึกๆในใจว่าตัวเองนั้นดีใจนักหนาที่ได้พบเจอพระบิดา และอ้อมกอดของพระองค์ก็ทำให้เธออบอุ่นใจยิ่งนัก และอยากรู้ว่าใครกันหนอช่างมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตฆ่าผู้หญิงไร้ทางสู้อย่างมารดาของเธอได้ แล้วยังติดตามจะฆ่าตัวเธอจนทำให้พ่อแม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน
“ถึงเราจะรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่มีหลักฐานจะเอาผิดกับพวกเขาได้ พ่อถึงได้ส่งลูกมาอยู่ที่นี่”
แม้พระราชาธิบดีราฮิมจะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ปองร้ายและฆ่าพระชายาคราดิยาห์เป็นใคร แต่ไม่สามารถเอาผิดกับบุคคลเหล่านั้นได้ เพราะเป็นคนใกล้ตัวที่ยากจะสาวเรื่องราวหรือหาหลักฐานมาลงโทษจำต้องยอมปล่อยให้เรื่องเงียบไป
“แล้วกลับไปตอนนี้ จะดีกับหม่อมฉันยังไง ในเมื่อกว่ายี่สิบปีแล้วพวกเขายังต้องการชีวิตหม่อมฉันอยู่”
“ลูกจะได้อยู่อย่างปลอดภัยในความคุ้มครองของคนที่พ่อเชื่อใจและไว้วางใจมากที่สุด” พระราชาธิบดีราฮิมทรงเห็นแววต่อต้านในดวงตาพระธิดา แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำบอกนี้ได้
“ยังไงกัน พระองค์ไม่ได้มารับหม่อมฉันไปอยู่ด้วยหรือ”
สาวน้อยเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนอบอุ่น เพื่อมองจับจ้องพระพักตร์พระบิดาที่เธอเพิ่งรู้จักอย่างคลางแคลงสงสัยในคำรับสั่งของพระองค์
“มันจำเป็นลูกรัก ลูกจะปลอดภัยเมื่อได้แต่งงานกับเขา”
สาวน้อยขยับตัวออกห่างมองพระพักตร์ผู้ที่เธอเพิ่งจะรับรู้และยอมรับว่าเป็นพระบิดาด้วยน้ำตาคลอในดวงตาสวยสุกใสเจียนจะหยดหยาดจากแรงอารมณ์ความน้อยใจและความขัดเคืองปนกัน
“แต่งงาน...อะไรกัน...ตอนแรกบอกว่าจะมารับกลับบ้าน ตอนนี้มาบอกว่าจะให้แต่งงาน”
สาวน้อยพยายามเก็บกลั้นน้ำตาคลอปริ่มมิยอมให้ไหลหยดลงมาอย่างสุดกำลัง แต่พอเห็นแม่อธิการโมนาเดินเข้ามาหาเธอก็โผเข้ากอดซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างลืมตัว ความสุขใจที่คิดว่าจะได้กลับไปอยู่กับพระบิดามลายหายวับในพริบตา เธอกลัว เธอโกรธ และรู้สึกอ้างว้าง อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต
“ชูว์...เดหลี...หนูกำลังเสียมารยาทกับพระบิดาอยู่นะ นั่งลงก่อนเถอะ แม่ขอร้อง ฟังพระองค์อธิบายให้จบก่อน”
สาวน้อยยอมนั่งลงตามคำบอกของแม่อธิการโมนาโดยดีด้วยรู้สำนึกในมารยาทที่ถูกอบรมสั่งสอนมา แต่ไม่ยอมมองหน้าผู้บอกจะให้เธอแต่งงานเพราะความรู้สึกน้อยใจที่คิดว่าเขาไม่ได้ต้องการตัวเธอจริงๆ เพียงแต่จะพาเธอไปให้คนอื่นดูแลต่อเท่านั้น
“หนูไม่อยากฟังแล้วค่ะ คุณแม่อธิการก็ได้ยินนี่คะ พระองค์จะให้หนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่รู้จัก เป็นการคลุมถุงชนกันชัดๆ พระองค์ไม่ได้คิดจะมารับหนูกลับไปจริงๆหรอกค่ะ” เสียงเจือสะอื้นของพระธิดาบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของพระราชาธิบดีราฮิมจนน้ำตาคลอเบ้า
“ดาริยาห์ ฟังพ่อนะ พ่อรักลูก รักมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของลูก ลูกกำลังตกอยู่ในอันตราย จะไปอยู่กับพ่อไม่ได้ และลูกก็อยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว ถึงลูกจะเข้าพิธีถวายตัวเป็นสาวกพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็จะตามมาฆ่าลูกเหมือนที่เคยตามไปฆ่าแม่ของลูกมาแล้ว ลูกจะไม่ปลอดภัยนะ”
“นี่หมายความว่า แม่ของหม่อมฉันถูกคนร้ายไล่ตามไปฆ่าจนตายหรือเพคะ” เดหลีตระหนกตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยินได้ฟังจากพระบิดา
“แม่ของลูกปลอมตัวเพื่อจะหลบหนีออกนอกประเทศ แต่คืนนั้นเกิดเจ็บท้องคลอดลูกเสียก่อน และพ่อก็ตามไปช่วยไว้ไม่ทัน แต่นางก็ให้มารีอาพาลูกไปหลบซ่อนได้ทันจึงรอดมาได้ แต่ตอนนี้คนที่จะช่วยให้ลูกอยู่รอดต่อไปได้คือคนที่ลูกต้องแต่งงานกับเขา เขาจะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองลูกแทนพ่อ”
“คนที่จะฆ่าเป็นใคร มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดไหน ทำไมพระองค์ถึงคุ้มครองหม่อมฉันด้วยพระองค์เองไม่ได้”
“พ่อยังบอกลูกไม่ได้”
“ทำไมหรือเพคะ ทำไมถึงบอกไม่ได้ ทำไมหม่อมฉันจะต้องแต่งงาน ถ้าพวกเขาจะตามมาฆ่าหม่อมฉันก็ให้หม่อมฉันถวายตัวแก่พระผู้เป็นเจ้า แล้วไปอยู่ที่ยุโรปหรืออเมริกาก็ได้ จริงไหมค่ะคุณพ่อฟรานซิส”
สาวน้อยหันไปถามนักบุญผู้เฒ่าที่เธอรู้ว่าเขากว้างขวางในวงการนักบวชทั้งในยุโรปและอเมริกาพอที่จะมีอำนาจฝากฝังเธอให้ไปอยู่ที่โบสถ์คาทอลิกที่ไหนก็ได้
“ไม่ได้หรอกลูกรัก ไม่มีโบสถ์ของพระเจ้าที่ไหนจะคุ้มครองลูกได้” บาทหลวงฟรานซิสปฏิเสธด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแสดงถึงความเสียใจ
“ทำไมล่ะคะ...ทำไมไม่ได้”
คนถูกปองร้ายมองหน้าบุคคลทั้งสามด้วยความสับสนและว้าวุ่นใจ ทำไมพ่อผู้สูงศักดิ์ของเธอจึงคุ้มครองเธอไม่ได้ และทำไมบาทหลวงฟรานซิสผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาจึงปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เธอต่อไป
“ดาริยาห์ ฟังพ่อเถอะลูกรัก ถ้าพ่อไม่พาลูกออกไป ทุกคนที่นี่ก็จะมีอันตรายไปด้วย พ่อไม่มีเวลามากจะอธิบายให้ลูกฟัง เราต้องรีบทำพิธีแล้วไปจากที่นี่ทันที เจ้าบ่าวของลูกรออยู่ พ่อเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”
พระราชาธิบดีราฮิมสรุปให้พระธิดาฟังอย่างรวบรัด โดยชี้ให้เธอเห็นชัดถึงอันตรายที่จะแผ่ขยายไปถึงผู้อื่น