บทที่ 1 ...จอมขวัญเจ้าบัลลังก์ทราย...
...โบสถ์คริสเตียน...
“...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดึงความสนใจให้หญิงสาวอ่อนวัยในชุดแม่ชีฝึกหัดสีขาวสะอ้านที่กำลังนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่หันหน้าไปมอง
“คุณหนูคะ...คุณหนู...”
ผู้ถูกเรียกขานว่า คุณหนู จดจำได้ดีว่าเป็นเสียงของคนคุ้นเคยที่เรียกขานกันอยู่ประจำจึงขานรับให้เข้ามา
“ค่ะ เข้ามาเลยค่ะ”
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาทำให้แปลกใจ วันนี้พี่เลี้ยงสวมเครื่องแต่งกายแบบสตรีชาวอาหรับมีผ้าคลุมฮิญาบเก็บชายอยู่ในเสื้อโค้ตสีน้ำตาลทองที่สวมทับชุดยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้มเหมือนกำลังจะเดินทางไกล
“มาเรีย ทำไมแต่งชุดแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
หญิงสาวสวยเพิ่งครบวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ลุกจากเก้าอี้เดินไปหา ถามเสียงสูงด้วยความสงสัยที่พี่เลี้ยงผู้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโตแต่งตัวผิดแปลกจากที่เคยเห็น
“ก็วันนี้ ดิฉันต้องไปจากที่นี่แล้วนี่คะ”
นางยอมรับด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เผยความรู้สึกใดๆ ผิดกับคนรับฟังที่ดวงตาโตสุกใสเริ่มคลอปริ่มด้วยหยาดน้ำตาและผวาเข้ากอดพี่เลี้ยงด้วยความตกใจอาลัยรัก ตั้งแต่เติบโตมาก็มีแต่มาเรียเท่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดสนิทเหมือนญาติผู้ใหญ่ แล้วนี่นางจะจากไปไหนกัน
“มาเรียจะไปไหน วันนี้เป็นวันที่ฉันจะถวายตัวกับพระเจ้านะ จะไม่อยู่เป็นกำลังใจให้หรือ” น้ำเสียงน้อยใจทำให้หญิงพี่เลี้ยงต้องโอบกอดร่างบางเข้าแนบอกเหมือนทุกครั้งที่เคยปลอบใจ
“เอาเถอะค่ะ ดิฉันจะอยู่กับคุณหนูจนเสร็จพิธี แต่ตอนนี้คุณพ่อฟรานซิสกับคุณแม่อธิการโมนาให้ดิฉันมาเชิญคุณหนูไปพบที่ห้องรับรองชั้นในค่ะ” หญิงสาวดันตัวออกจากการกอดของพี่เลี้ยงเพื่อมองสบตาของนาง แต่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความรักเทิดทูน
“ท่านทั้งสองมีธุระอะไรหรือ อีกชั่วโมงกว่าๆก็จะถึงเวลาทำพิธีแล้วนี่คะ”
“เอ้อ...เห็นว่ามีแขกสำคัญจะแนะนำให้รู้จักค่ะ“
“ใครกันจ๊ะ”
“ถ้าคุณหนูอยากรู้ว่าเป็นใครก็รีบไปกันเถอะค่ะ อย่าให้ท่านต้องรอนาน”
คนเป็นพี่เลี้ยงจับจูงมือสาวน้อยผู้ที่ตนดูแลมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยพาเดินเร่งรีบตรงออกไปเหมือนกับร้อนใจ พอมาถึงห้องรับรองชั้นในนางก็เป็นฝ่ายเคาะประตูกล่าวขออนุญาตเข้าไป
“คุณหนูมาแล้วค่ะ”
สาธุคุณฟรานซิสกับแม่อธิการโมนาและแขกผู้มาเยือน ลุกขึ้นยืนต้อนรับสาวน้อยผู้มีใบหน้าสวยจับตาจับใจที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามา แม้จะอยู่ในชุดขาวเรียบแบบแม่ชีฝึกหัด แต่ความสวยงามอย่างมีสง่าราศีก็ยังเด่นชัดออกมาสู่สายตาผู้พบเห็น ซึ่งเคยเป็นที่นึกเสียดายของแม่อธิการโมนาที่ในวันนี้เธอจะเข้าพิธีถวายตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะความงดงามที่พระเจ้าประทานลักษณะเด่นของความเป็นเพศหญิงสมบูรณ์แบบหาที่ติไม่ได้
ในความสวยงามของสาวน้อย ประกอบด้วยรูปร่างงามสง่าอันสมส่วนเย้ายวนใจ โดยเฉพาะผิวพรรณขาวนวลผ่องใสไร้ไฝฝ้า รวมไปถึงเส้นผมสีเข้มอันดกหนา และเครื่องหน้าพริ้มเพราที่เหมือนการจับวางเอาคิ้วเข้มเรียวยาวไว้เหนือดวงตากลมโตส่องประกายสีน้ำเงินสุกใสราวกับอัญมณี โดยมีขนตาดกหนาและยาวงอนล้อมรอบที่ช่วยเสริมความสวยหวาน และเข้ากันกับจมูกเล็กโด่งรูปสวยรับกับริมฝีปากเต็มอิ่มและรอยยิ้มที่ทุกคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า…พิมพ์ใจนัก...อยู่เหนือคางแฝดเรียวเป็นเอกลักษณ์เสริมความสวยน่ารักน่ามองที่ใครๆไม่อาจจะรู้ได้ว่า ละม้ายเหมือนแขกสูงศักดิ์ผู้มาเยือนราวกับพิมพ์เดียว เพราะใบหน้าเขามีเคราหนาปิดพรางอยู่
“หนูมาแล้วค่ะ คุณพ่อฟรานซิส คุณแม่อธิการ มีอะไรให้หนูรับใช้หรือคะ”
หญิงสาวกล่าวทักทายสองผู้ปกครองแล้วมองไปยังแขกที่แต่งกายด้วยสูทสากลสีน้ำเงินเข้มรับกับสีดวงตาที่เหมือนกับเธอกำลังจ้องมองเข้าไปในดวงตาของตัวเองอย่างนั้น
“เรามีแขกสำคัญจะแนะนำให้ลูกรู้จัก” บาทหลวงฟรานซิสนักบุญวัยเจ็ดสิบกว่ากล่าวพร้อมกับผายมือไปยังแขกสำคัญที่เธอเพิ่งละสายตามาจากเขา
“เอ้อ นี่คือ พระราชาธิบดี ราฮิม บิน อับดุลลาซิส บิน
สุลต่าน อัล-ธูมไทมาห์ แห่งราชรัฐสุลต่านอัล-ธูมไทมาห์ องค์ประมุขผู้นำประเทศสหราชรัฐอาหรับเดรุสซาลาม”
หญิงสาวค้อมศีรษะต่ำถอนสายบัวแสดงความเคารพผู้สูงศักดิ์อย่างนอบน้อมอ่อนช้อยเป็นที่พึงตาพึงใจแก่ผู้พบเห็น และเป็นที่ภาคภูมิใจของพี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักเพราะนางเฝ้าอบรมมาเป็นอย่างดี
“เอ้อ..เพคะ...ยินดีที่ได้รู้จักเพคะ”
สายตาส่อแววสงสัยระคนแปลกใจไม่รอดพ้นไปจากการมองสังเกตปฏิกิริยาของเด็กสาวของบาทหลวงฟรานซิสที่หันไปสบตากับแม่อธิการโมนา แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้นางรับช่วงต่อเป็นผู้บอกกล่าว
“เอ้อ...ท่านราฮิมจะมารับตัวลูกไปจากที่นี่จ้ะ” แม่อธิการโมนาพูดเปิดประเด็นโดยไม่มีการอารัมภบทจนคนฟังเกือบสะดุ้ง
“รับหนู...ทำไมคะ...”
ถามน้ำเสียงสูงแปลกใจระคนตกใจ แล้วลดระดับต่ำลงในตอนท้ายในลักษณะเหมือนน้ำลายติดคอ แต่ก็มีคำถามที่เธอต้องการจะรู้คำตอบติดตามออกมา
“จะรับตัวไปไหน อีกไม่ถึงชั่วโมงหนูก็จะเข้าพิธีถวายตัวกับพระเจ้าแล้วนี่คะ”
“เราต้องยกเลิกการถวายตัวของลูกในวันนี้ เพราะลูกจะต้องรีบออกเดินทางไปจากที่นี่”
แม่อธิการโมนาไม่สบายใจนักที่ตนต้องเป็นคนบอกเรื่องนี้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีเวลาที่จะมาอ้อมค้อม จึงบอกแก่สาวน้อยที่มองสบตามาด้วยสีหน้างวยงงออกไปตรงๆ