บทนำ...จอมขวัญเจ้าบัลลังก์ทราย...
...วันพลัดพราก...
หญิงสาวสวยนอนสงบนิ่งปราศจากลมหายใจ แม้ร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยเลือดสีแดงฉานกระจายอยู่เต็มเสื้อที่สวมใส่ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวก็ไม่อาจบดบังความงดงามล้ำเลิศของนาง ใบหน้างามหลับตาพริ้มเหมือนกำลังอยู่ในนิทรารมย์ ไม่รับรู้ถึงหยาดน้ำตาของบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่รินหลั่งอไม่ขาดสาย เสียงรำพึงพร่ำขอโทษของเขาแหบพร่าสั่นเครืออย่างอาดูรสุดอาลัยขาดหายเป็นช่วงจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“โอ...คราดิยาห์...พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...ที่ไม่อาจปกป้องเจ้าได้ ...พี่ขอโทษ...”
สองมือของเขาประคองใบหน้างามอย่างทะนุถนอม จับจ้องด้วยดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาของบุรุษที่กำลังสูญเสียของรักที่สุดรักสุดหวง บัดนี้ใบหน้าแสนสวยที่เคยอบอุ่นมีเลือดฝาดระเรื่อกลับซีดเซียวเย็นชืดไร้ชีวิตชีวา เพราะเจ้าของสิ้นลมหายใจไปก่อนหน้าที่เขาจะมาพบนานกว่าสามชั่วโมง ถ้าเขามาเร็วกว่านี้นางก็คงยังมีลมหายใจ และใบหน้างดงามนี้จะต้องมีรอยยิ้มแสนสวยที่เขาประทับใจอยู่ไม่เคยรู้ลืม
“ ...คราดิยาห์...พี่รักเจ้า...พี่รักเจ้า...พี่ขอโทษ...”
กิริยาซบหน้าร่ำไห้ลงบนฝ่ามืออย่างโศกเศร้าอาดูรของบุรุษผู้สูงศักดิ์ทำให้องครักษ์คนสนิทถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ เขาทนรอให้พระองค์แสดงความเสียพระทัยกับการสิ้นพระชนม์ของพระชายาสุดแสนรักมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว จึงเดินเข้าไปคุกเข่าคำนับต่ำและกราบทูลเสียงแผ่วเบา
“ขอประทานอภัยพระเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมคิดว่า พระองค์คงต้องมีรับสั่งเกี่ยวกับพระศพ และ...พระธิดา...”
คำกราบทูลขององครักษ์ผู้จงรักภักดี ช่วยเรียกสติของบุรุษผู้สูงศักดิ์ให้คืนกลับมา เขาลดมือลงจากใบหน้า กะพริบตาถี่สี่ห้าครั้งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ที่ประทับอยู่นานเรียกหาพระธิดา
“ลูก...ลูกของฉันอยู่ไหน”
“พระธิดาอยู่นี่แล้วเพคะ”
หญิงสาวร่างท้วมสวมชุดสูทกางเกงเครื่องแบบพยาบาลอุ้มทารกที่หลับอยู่แนบอกนั่งเยื้องอยู่เบื้องหลัง กราบทูลก่อนจะรีบนำเข้าไปส่งให้ถึงพระหัตถ์
“โอ...ลูกพ่อ...พ่อขอโทษ...พ่อขอโทษ...ที่ทำให้เจ้าต้องกำพร้าแม่...ลูกรัก...”
พอสัมผัสผ้าอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างเล็กจ้อยของพระธิดา น้ำตาของบุรุษก็หยดหยาดลงมาอีกครั้ง ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ไล้แผ่วเบาบนแก้มยุ้ยที่เจ้าของแก้มกำลังนอนหลับตาพริ้ม แต่เหมือนทารกน้อยจะรับรู้คำพูดของเขาจึงเปล่งเสียงอ้อแอ้และลืมตาขึ้นมองสบพระเนตรพระบิดา ทำให้มุมปากของพระองค์ยกขึ้นด้วยความปลาบปลื้มพระทัยที่เห็นสีพระเนตรของพระธิดาเป็นสีเดียวกับพระองค์
“ลูกมีดวงตาสีเดียวกับฉัน” ทรงหันไปรับสั่งกับนางพยาบาลและองครักษ์ด้วยใบหน้าที่พอจะเปล่งประกายความสดใสออกมาบ้าง
“เพคะ ทรงมีรักยิ้มที่มุมพระโอษฐ์เหมือนพระมารดาและสีพระเนตรเหมือนพระบิดา”
มารีอาผู้ทำคลอดทารกกราบทูลด้วยน้ำตานองหน้า เหตุการณ์ที่ผ่านมากว่าสามชั่วโมงยังฝังติดอยู่ในใจ พระชายาเริ่มเจ็บพระครรภ์มาตั้งแต่หัวค่ำ จนมาคลอดเอาตอนรุ่งสางเห็นแสงอรุณรำไร พอได้เห็นหน้าพระธิดาก็กอดจูบร่ำไห้แล้วสั่งให้นำพระธิดาออกจากโรงแรมหาที่ซ่อนตัวใหม่ให้ปลอดภัย ตนกับองครักษ์คนหนึ่งจึงจำใจรีบพาทารกออกไป ละเป็นเวลาเฉียดฉิวกับฆาตกรที่ลอบบุกเข้ามาปลงพระชนม์ และตามติดพวกตนมาฆ่าองครักษ์ที่ตามคุ้มครองตายต่อหน้าต่อหน้า แต่โชคคดีที่คนของพระราชาธิบดีตามมาช่วยตนกับพระธิดาไว้ทัน
“พระมารดาทรงประทานพระนามไม่เป็นทางการว่า เดหลี เพคะ” หล่อนกราบทูลเสียงสั่นเครือ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา
“ ...เดหลี...ใช่สิ...นางชอบดอกไม้ชนิดนี้ เป็นสีขาวที่ปลูกคู่อยู่กับดอกกุหลาบสีขาวไว้เกือบจะทั่วบ้าน...”
คำรับสั่งว่า บ้าน หมายถึงพระตำหนักไวท์โรส ( With Rose-กุหลาบขาว ) ที่ทรงสร้างไว้เป็นที่พำนักของพระชายาที่แสนรัก หลังจากพานางเข้ามาอยู่ในประเทศของตน และรับนางเข้าเป็นพระชายาลำดับสองอย่างเป็นทางการ
พอพระชายามีพระครรภ์ก็เกิดเหตุการณ์เกือบจะทำให้นางเสียชีวิตหลายครั้งหลายครา จึงทรงขอร้องให้นางเดินทางออกนอกประเทศ โดยหาที่พำนักอันปลอดภัยไว้ให้ แต่นางก็ไม่ยินยอมตาม เพราะไม่ปรารถนาที่จะอยู่ห่างไกลพระสวามี
เวลาล่วงเลยมาจวนใกล้จะคลอด เมื่อเห็นว่าผู้ปองร้ายไม่ยอมรามือ นางจึงยอมตามคำร้องขอของพระสวามี ด้วยการปลอมตัวเล็ดลอดออกมาพำนักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ เพื่อจะรอพระสวามีเดินทางไปส่งให้ถึงที่หมาย แต่ก็ไม่อาจพ้นเงื้อมมือของผู้ปองร้ายที่ส่งคนตามมาฆ่านางเสียก่อน
“ฉันจะนำศพของนางกลับไปที่ตำหนักไวท์โรส นางจะอยู่อย่างมีความสุขในสวนดอกไม้ที่นางรักตรงด้านหลังตำหนัก”
“ส่วนศพองครักษ์ที่พลีชีพทั้งสองคนเราจะตอบแทนให้สมค่า เจ้าช่วยจัดการให้สมเกียรติต่อพวกเขาด้วย”
“พระเจ้าข้า แล้ว พระธิดา”
เขามองไปยังร่างทารกที่นอนหลับใหลอย่างไม่รู้ชะตากรรม ด้วยความรู้สึกตีบตันอย่างเวทนา แม้พระชายาจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญต่างชาติ แต่กิริยามารยาทอันสมเป็นกุลสตรีและการอ่อนน้อมถ่อมตนก็ทำให้เป็นที่ชื่นชมของเหล่าองครักษ์ใกล้ชิด ทุกคนจึงยอมพลีชีวิตด้วยความจงรักภักดี
“ฉันติดต่อผู้เลี้ยงดูเอาไว้แล้ว อีกครึ่งชั่วโมงคงจะมาถึงเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
บุรุษผู้สูงศักดิ์กอดหอมด้วยความรักอาลัยก่อนจะส่งร่างทารกให้แก่มารีอาพยาบาลประจำองค์พระชายา นับถือต่อความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ของนาง ทรงดำเนินไปยังร่างที่นอนสงบนิ่ง ประทับนั่งลงจับมือบอบบางที่เย็นชืดขึ้นมาแนบใบหน้า
“ ...คราดิยาห์...ไม่ต้องเป็นห่วงลูกนะ...พี่จะดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด จะส่งไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดต่อชีวิตของแก พี่จะไม่ยอม...ให้ใครมาทำร้ายลูกของเราเป็นอันขาด... แม้จะต้องแลกกับชีวิตของพี่ก็ตาม...”
คำรับสั่งกระซิบใกล้ใบหน้าพระชายาขาดหายเป็นช่วงด้วยความรู้สึกถึงอาการตีบตันให้ลำคอเพราะทรงพยายามหักห้ามใจเก็บกลั้นความเสียใจ ก่อนจะกล่าวคำสัญญาหนักแน่น
“พี่สัญญาคราดิยาห์ สัญญาว่าจะดูแลลูกของเราอย่างดี จะไม่ให้ต้องมีอันตราย...พี่สัญญา...”
ทรงก้มลงจุมพิตบนหน้าผากพระชายาสุดที่รัก ก่อนจะสั่งให้เหล่าองครักษ์นำพระศพออกไป แล้วหันมากล่าวกับมารีอานางพยาบาลผู้ถูกว่าจ้างมาดูแลพระชายาตั้งแต่เริ่มตั้งพระครรภ์ และนางก็จงรักภักดียอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายติดตามมาอยู่รับใช้คราดิยาห์จนลมหายใจสุดท้าย
“มารีอา ถ้าฉันจะขอให้เจ้าเดินทางไปกับธิดาของฉัน เจ้าจะไปหรือไม่”
“ฝ่าพระบาท มารีอาเป็นข้ารับใช้ของพระองค์กับพระชายา หม่อมฉันยินดีจะตามไปรับใช้พระธิดาเพคะ”
“แต่เจ้าอาจจะไม่ปลอดภัย หรือไม่ได้กลับมาประเทศนี้อีกเลย”
“มิเป็นไร พระธิดาอยู่ที่ไหน หม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่นเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ขอฝากลูกของเราด้วย เจ้าช่วยดูแลให้ดี เราจะส่งพวกเจ้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
“รับด้วยเกล้าเพคะ หม่อมฉันยอมสละชีพเพื่อความปลอดภัยของพระธิดาเพคะ”
“ ขอบใจ ...ขอบใจมากมารีอา...ส่งเด็กมาเถอะ ขอเรากอดลูกอีกสักหน่อย”
บุรุษผู้สูงศักดิ์รับร่างพระธิดามากอดแนบอก แม้จะทรงอดกลั้นความโศกเศร้าเสียใจอย่างไร ก็ไม่อาจเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ พลางก้มลงจุมพิตพวงแก้มป่องยุ้ยด้วยพลานามัยสมบูรณ์ของพระธิดาอย่างแสนรัก ทารกน้อยสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมองจับจ้อง โดยไม่มีเสียงร้องไห้ ยิ่งทำให้ทรงปลาบปลื้มใจ
“ลูกรักของพ่อ...ดวงใจของพ่อ...จอมขวัญของพ่อ...พ่อขอให้พระเจ้าจงคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย และเจริญวัยเติบโตอยู่เป็นดวงใจเป็นจอมขวัญของพ่อตลอดไปนะลูกนะ”