๒ ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว (๒)
“มาถึงเร็วดีนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ต้องหันไปมองคนมาใหม่ก็พบเจ้าของบ้านที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวโคร่งและสวมกางเกงเดนิมสีตุ่นสำหรับใส่อยู่บ้าน ไม่ค่อยเห็นแทนไทในลุคนี้สักเท่าไหร่ทำให้แอบใจพองโตในความพิเศษที่มีเพียงหล่อนคนเดียวได้พบ
นนทัชเดินเข้าไปหาเจ้านายพร้อมยื่นเอกสารต่างๆ ให้จนหล่อนไม่ทันมองว่าเขาหยิบมาตอนไหน ประธานบริษัทเดินไปนั่งยังกลุ่มโซฟาที่มีเพดานเป็นกระจกส่องสว่างแทนการใช้ไฟฟ้า บ้านหลังนี้แทบจะกลมกลืนกับธรรมชาติทั้งใช้แสงของดวงอาทิตย์ ลมเย็นจากข้างนอก หล่อนนับถือสถาปนิกจริงๆ ที่ออกแบบอย่างดีเยี่ยมขนาดนี้
“เดี๋ยวผมจะไปคุยกับเจ้าของที่ว่าเขาสามารถขายให้เราได้ในราคาเท่าไหร่ คุณก็จัดการทางนี้ตามที่ผมบอกแล้วกัน หวังว่าจะไม่ผิดพลาด” ยามอยู่ในเวลางานชายหนุ่มก็ค่อนข้างจริงจังจนดูเหมือนเป็นคนละคนกับตอนพบเจอยามปกติ
“ครับ” นนทัชรับคำพลางลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าท่านประธานกำลังจะออกเดินทางจนหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวต้องลุกขึ้นด้วย
“คุณแทนจะกลับวันไหนครับ” เอ่ยถามเพราะหากชายหนุ่มไม่กลับพรุ่งนี้เขาก็จะเลื่อนตารางงานให้
“พรุ่งนี้ ช่วยเลื่อนตารางงานที่จะประชุมเกี่ยวกับโครงการไดมอนให้เร็วขึ้นด้วย ผมต้องการความคืบหน้า” ชายหนุ่มรับคำพลางเดินออกไปทันทีปล่อยให้สองหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันทำเอาบุณณดาทำตัวไม่ถูกว่าจะปฏิบัติกับเขาอย่างไรดี
อาการเก้กังของหล่อนทำให้คนมองแอบอมยิ้ม เขาผละออกไปไม่ได้พูดอะไรในขณะที่คนตัวเล็กก็ไม่เอ่ยถาม เธอตัดสินใจนั่งรอเขาอยู่ที่เดิมพลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ พบว่าชั้นนี้น่าจะเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวและรับประทานอาหารเพราะเห็นมีห้องครัว โต๊ะรับประทานอาหารและบาร์ขนาดยาว ส่วนโซนที่หล่อนนั่งอยู่จะเป็นโซฟาขนาดใหญ่ที่มีจอทีวีกว่าห้าสิบนิ้วตั้งอยู่ เดินออกไปอีกหน่อยก็เป็นระเบียงซึ่งวางเก้าอี้นอนไว้ด้วย
บ้านทั้งหลังมีต้นไม้วางในจุดโปร่งแสงทำให้มันเขียวขจีและเจริญเติบโตแม้อยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ยิ่งสำรวจยิ่งชอบ ยิ่งมองยิ่งหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น
ไม่ใช่แค่บ้าน..แต่หมายรวมถึงเจ้าของบ้านด้วย
“พร้อมไปกันหรือยัง” แทนไทเดินออกมาด้วยชุดใหม่คือเสื้อคอปกลายขวางและกางเกงเข้ารูป มือของเขาถือกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมเอาไว้
“ปะ ไปไหนคะ”
“ไปสัตหีบ เราต้องไปคุยเรื่องท่าเรือต้องค้างหนึ่งคืนด้วย เอาชุดมาหรือเปล่า” ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมดจนหล่อนตั้งรับไม่ทัน
“ไม่ค่ะ” เขาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเรียกแม่บ้านที่พร้อมรอรับคำสั่งตลอดเวลา
“เจี๊ยบ เดี๋ยวไปเอาชุดสำหรับคุณผู้หญิงให้หน่อยนะ ชุดนอนหนึ่งชุดและก็ชุดทำงานอีกหนึ่งชุด อ้อ แล้วก็ชุดชั้นในด้วย ขอไม่เกินสามสิบนาที” สาวรับใช้รับคำพลางรีบออกไปทำตามคำสั่งปล่อยให้หล่อนอยู่กับเขาเพียงลำพังอีกครั้ง
ไม่คุ้นเลยสักนิดกับแทนไทในเวอร์ชั่นนี้ หล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นอีกคนที่ไม่อาจแตะต้องได้เหมือนไกลเกินเอื้อมจนนึกสงสัยว่าที่ผ่านมาสามารถพูดคุยกับชายหนุ่มแบบปกติได้อย่างไร ทำไมตอนนี้ถึงทำเช่นนั้นไม่ได้
“ไม่ต้องเกร็งหรอก” เห็นเธอทำหน้าไม่ถูกถึงได้บอก
“แต่ว่า”
“ถึงจะอยู่ในเวลาทำงานแต่ก็อยู่กันสองคน ทำตัวตามสบายเถอะ” ได้ยินอย่างนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ หล่อนกลั้นเสียเกือบขาดอากาศหายใจ
“คุณแทนเวลาเป็นประธานบริษัทดูเฉียบขาด มาดนิ่งจนข้าวรู้สึกกลัวเลยค่ะ” บอกตามความรู้สึกจริงของตนเองที่ได้เจอกับเขาในลุคใหม่
ไม่สงสัยสักนิดว่าทำไมถึงเป็นประธานบริษัทที่มีอาณาจักรของตัวเองใหญ่ขนาดนี้ได้ทั้งที่อายุเพียงแค่ 42 ปีเท่านั้น แถมสร้างมันเองกับมือเริ่มจากศูนย์ด้วยซ้ำยิ่งทึ่งในความสามารถของผู้ชายคนนี้มากกว่าเดิม
“ก็ต้องทำให้ลูกน้องยำเกรงหน่อยสิ แต่เวลาอยู่กับเธอรู้สึกอยากเป็นตัวเอง”
คำพูดของเขาสั่นคลอนจิตใจของหล่อนได้ไม่ยาก ในเมื่อเผลอมอบใจให้เขาไปแล้วทั้งดวงยามได้ยินคำหวานพลันใบหน้าก็ร้อนจนไม่อาจห้ามความรู้สึกภายในใจได้
“กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวจะให้แม่บ้านตั้งโต๊ะให้” มองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาเก้าโมงครึ่งถือเป็นช่วงเข้างานพอดี เธอไปถึงบริษัทตั้งแต่แปดโมงเพื่อรายงานตัวตามที่ฝ่ายบุคคลได้แจ้ง กว่าจะขับรถมาถึงบ้านหลังนี้และคุยธุระเสร็จก็ชั่วโมงครึ่งไปแล้ว
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เมื่อคำตอบเป็นอย่างนั้นเขาจึงเชิญเธอไปนั่งรอชุด ไม่ถึงสิบห้านาทีแม่บ้านก็กลับมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าที่มีชุดตามคำสั่งของเจ้านายจนหล่อนเกิดความสงสัยว่าไปเอาชุดเหล่านั้นมาจากที่ไหน
“เสื้อผ้าพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ” นั่งเพียงแปบเดียวก้นยังไม่ทันร้อนก็ต้องรีบลุกตามร่างสูงซึ่งก้าวออกไปข้างนอกเสียแล้ว
ช่วงขาของเขากับหล่อนต่างกันทำให้ต้องสับเท้าโดยเร็วเข้าไปเดินไม่ให้ห่างเจ้านายมากเกินไป กำลังจะก้าวไปยังตำแหน่งคนขับรถแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแทนไทประจำที่ตรงนั้นก่อนตนเองแล้ว ใบหน้าเกิดคำถามจนเขาเดาความคิดได้
“เดี๋ยวฉันขับเอง”
“แต่ว่าคุณแทนเป็นเจ้านายนะคะ” คงไม่เป็นการดีแน่ที่จะให้เจ้านายขับรถแล้วลูกน้องอย่างหล่อนนั่งเคียงข้าง
“ไม่เป็นไรหรอก จะลูกน้องหรือเจ้านายก็คนทั้งนั้น รีบขึ้นไปนั่งเร็วเดี๋ยวจะสายมากกว่านี้” รับคำอย่างเงอะงะค่อยเดินไปนั่งข้างคนขับ
รถยนต์เคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ ก่อนจะทะยานไปตามถนนที่โล่งกว่าปกติ มุ่งไปยังชลบุรีจุดหมายปลายทางคือแหลมฉบังอันเป็นที่ตั้งของท่าเรือบริษัท The area of leo logistics การไปทำงานครั้งนี้เขาต้องการขยายพื้นที่ท่าเรือจึงต้องไปซื้อที่เพิ่ม แต่ดูเหมือนเจ้าของพื้นที่นั้นค่อนข้างคุยยากเคยให้นายหน้าไปเจรจาแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมขาย ยืนยันจะคุยกับเจ้าของบริษัทก่อนทำให้เรื่องนี้ต้องถึงมือแทนไทจนได้
ระหว่างทางไม่ได้เงียบเพราะเปิดเพลงคลอ อีกทั้งหล่อนก็เอ่ยถามเกี่ยวกับธุรกิจของเขากระทั่งชายหนุ่มเบื่อจะคุยเรื่องงาน
“เรื่องงานค่อยพูดตอนเวลางานดีกว่า ฉันอยากรู้เรื่องครอบครัวของเธอ” แต่ละครั้งที่คุยกันแทบไม่เอ่ยถึงครอบครัวเลย หล่อนมักจะขอคำปรึกษาเรื่องเรียนบ้าง การทำงานหรือแม้แต่ปัญหาความเครียดเกี่ยวกับการเงินซึ่งชายหนุ่มสามารถช่วยได้หมดทุกอย่าง
“ครอบครัวเหรอคะ” ไม่ค่อยแน่ใจในคำถามสักเท่าไหร่เพราะแทนไทไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้
“ใช่” ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากจุดไหนดีเพราะชีวิตหล่อนช่างดราม่าเสียเหลือเกิน นึกว่าเป็นละครหลังข่าวจนอยากส่งเรื่องไปให้ผู้จัดทำเป็นละครเหลือเกิน ผิดแต่ที่ยังหาพระเอกไม่เจอ
หรือบางทีอาจจะเจอแล้วก็ได้...
“ข้าวเหลือแค่พ่อคนเดียวค่ะ แม่เสียไปตั้งแต่ข้าวห้าปี ส่วนคุณปู่คุณย่าก็เสียตอนข้าวได้เก้าปี เลยเหลือแต่พ่อเป็นครอบครัวคนเดียว” และท่านก็ไม่ค่อยได้อยู่กับหล่อนสักเท่าไหร่ต้องลอยไปลอยมาเพื่อหนีเจ้าหนี้ที่ตามทวงเงินไม่ลดละ
เว้นแต่ช่วงสี่ปีมานี้ซึ่งไม่เห็นพวกมันเลยสักครั้ง ทว่าบิดาก็ไม่ค่อยกลับบ้านและบอกให้ลูกสาวเพียงคนเดียวไปอาศัยอยู่บ้านของนลินี กังวลว่าพวกนั้นจะย้อนกลับมาอีก
“เธอคิดถึงแม่ไหม” ไม่รู้ทำไมเขาถึงถามขึ้นแต่หญิงสาวก็อมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าหวานของมารดา
“ข้าวแทบจำแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำค่ะ แต่ก็พอนึกออกว่าท่านรักข้าวมากแค่ไหน เสียดายที่ท่านจากไปเร็วเหลือเกิน” นึกถึงแล้วก็อยากให้มารดายังอยู่ด้วย บ้านคงเป็นบ้านมากกว่านี้ไม่ใช่พ่อไปทางลูกไปทาง กลับมาเจอกันแต่ละทีท่านก็ขอแต่เงิน
หมดมาดลูกชายนักธุรกิจหลงเหลือเพียงคุณลุงขับแท็กซี่ที่ขอบตาดำคล้ำอย่างน่าสงสาร
“นั่นสิ..น่าเสียดาย” พึมพำเสียงเบาจนเธอต้องหันมามองคนข้างกาย
“คุณแทนว่ายังไงนะคะ” คำถามของหล่อนเหมือนปลุกเขาออกจากภวังค์ต้องรีบส่ายหน้าทันทีพลางแต้มยิ้มที่ริมฝีปาก
“เสียใจด้วยที่แม่เธอไม่อยู่แล้ว” ใบหน้าคมเคร่งขรึมลงเล็กน้อยในขณะที่แววตาราบเรียบ บุณณดายิ้มพลางส่ายศีรษะก่อนจะตอบกลับเสียงหวาน
“มันผ่านมานานจนข้าวไม่รู้สึกอะไรแล้วค่ะ” เวลาที่ผ่านไปทำให้หล่อนเข้มแข็งมากขึ้น ไม่อยากหวนถึงอดีตมากนักเพราะรังแต่จะทำให้เจ็บปวดเสียเปล่า ในเมื่อความทรงจำครั้งเป็นเด็กมันดีจนไม่อยากโตขึ้นเผชิญความจริงอันแสนโหดร้าย
แต่ก็ไม่อาจทำดังใจนึกได้ในเมื่อมันคือความจริงไม่ใช่นิยายหรือละครหลังข่าว หล่อนก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ถึงโลกจะโหดร้ายมากแค่ไหนก็ตาม
“เก่งมาก เด็กน้อย” ชายหนุ่มยกมือข้างซ้ายขึ้นลูบศีรษะหล่อนอย่างปลอบปะโลมทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวนั่งนิ่งตัวแข็งค้างไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้กับตนเอง
ความอบอุ่นที่ได้รับยิ่งทำให้หลงรักเขามากขึ้นจนยากจะถอนตัวเสียแล้ว อยากเอ่ยปากบอกความในใจแต่ก็กลัวว่าจะเป็นตัวเองที่รู้สึกไปฝ่ายเดียว ในเมื่อชายหนุ่มเพียบพร้อมขนาดนี้คนธรรมดาเช่นหล่อนจะเอื้อมถึงเขาได้อย่างไร
พาหนะเคลื่อนไปตามทางกว่าสองชั่วโมงกระทั่งถึงที่หมาย ทะเลเบื้องหน้าสวยงามจนอยากยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพแต่จำได้ว่าตนเองมาทำงานถึงต้องรอให้เขาเสร็จจากการเจรจาซื้อที่เสียก่อน
เพิ่งเคยมาเห็นท่าเรือของบริษัทเป็นครั้งแรก ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่กว่าร้อยวางเรียงเป็นระเบียบ มีสินค้าเข้าออกต่อวันกว่าพันชิ้นทำให้คนงานวิ่งกันหัวหมุนโดยมีผู้จัดการคอยกำกับดูแลไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น
เดินตามหลังคนตัวสูงเพื่อฟังเขาคุยกับผู้จัดการซึ่งค่อนข้างมีอายุและเก่งในงานโลจิสติกส์ โชคดีเหลือเกินที่ได้คนมีความสามารถมาร่วมงานด้วยทำให้การดำเนินงานด้านนี้เป็นไปอย่างไหลลื่นไม่สะดุดถึงแม้จะมีปัญหาให้แก้ไม่เว้นวัน
หลังจากพูดคุยกันเสร็จก็เดินทางไปยังบ้านเจ้าของที่ใกล้เคียงเพื่อเจรจาขอซื้อที่ ทุกอย่างน่าจะง่ายเพราะฝ่ายนั้นกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจแต่ดูเหมือนว่าราคาที่เสนอไปไม่เป็นที่พึงพอใจสักเท่าไหร่ถึงขนาดขอเจอกับประธานบริษัทโดยตรง
และแทนไทก็มาถึงบ้านสองชั้นขนาดใหญ่อยู่ในตัวเมือง ระหว่างทางบุณณดาเป็นคนขับรถเพราะไม่อยากให้ผู้จัดการซึ่งนั่งมาด้วยตำหนิหล่อนที่ให้ผู้บริหารขับรถเอง
กว่าจะคุยธุระเสร็จและเป็นไปตามที่ต้องการก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงรีดพลังไปจากนักธุรกิจหนุ่มพอสมควรในเมื่ออีกฝ่ายเขี้ยวลากดินเสียขนาดนี้ เขาเสียทั้งเงินและบัตรกำนัลในการจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าของตนเองมูลค่ากว่าแสนบาท แต่ก็คุ้มที่ได้ขยายพื้นที่ท่าเรือเพราะของเริ่มมากขึ้นทุกวัน หากมีที่รองรับเยอะเงินที่ตามมาก็งอกเงยเช่นกัน
“คุณแทนจะไปไหนต่อครับ” มาส่งผู้จัดการก็ประชุมงานต่ออีกสามชั่วโมงจนถึงเวลาพักผ่อน
“คงเข้าที่พัก เหนื่อยมาทั้งวัน” อีกฝ่ายเดินหน้าส่งถึงรถยนต์ก่อนจะล่ำลากันพอเป็นพิธี ก่อนที่ผู้ช่วยเลขาจะประจำตำแหน่งคนขับรถเขาก็เดินไปดักไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวฉันขับเอง” หล่อนมีสีหน้าเลิกลักเหลือบมองผู้จัดการซึ่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไรก็ค่อยหลบให้เขาแล้วเดินไปยังที่นั่งข้างคนขับ
“ไปแล้วครับ” บอกลาชายมากกว่าวัยแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยคนตามอย่างหล่อนไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด อีกอย่างแสนเสียดายที่ตนเองไม่ได้ถ่ายรูปกับตู้คอนเทนเนอร์ยักษ์ซึ่งเรียงกันหลายสิบตู้เหมือนที่เคยเห็นในละคร
แต่ในเมื่อมาทำงานจึงไม่ได้ร้องงอแงหรือเอ่ยอ้อนวอน ต้องย้ำเตือนตัวเองไม่ให้ลืมว่าชายหนุ่มที่มาด้วยเป็นถึงเจ้าของบริษัทที่ไม่ได้มีเวลามากพอจะทำเรื่องไร้สาระ โดยที่ทั้งหมดนั้นคิดเองเออเองไม่ได้ถามเขาสักคำ
รถเลี้ยวเข้ามายังบังกะโลแห่งหนึ่งที่ไม่ทันจะได้อ่านชื่อก็จอดยังลานจอดรถเสียแล้ว ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบว่าจะต้องนอนที่นี่ทำให้รีบลงไปหยิบกระเป๋าตนเองที่ด้านหลังแต่ไม่ทันคนตัวสูงซึ่งหยิบมาถือไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวข้าวถือเองค่ะ” เอ่ยด้วยความเกรงใจแต่เขากลับหลบมือเล็กที่กำลังจะคว้ากระเป๋าของตนเอง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันถือให้มันไม่หนักเท่าไหร่” ว่าจบก็เดินนำไปยังรีเซฟชั่นทันทีโดยหล่อนไม่อาจต้านทานอะไรเขาได้เลย
สิ่งที่ทำคือก้าวขายาวๆ ตามร่างสูงเข้าไปติดต่อเรื่องห้องพัก แต่กลับเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนคอยท่าอยู่แล้วโดยแทนไทรีบเข้าไปทักทายราวรู้จักกันมาก่อน
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับท่านประธานใหญ่ เวลาเป็นเงินเป็นทองจนปลีกตัวมาหาเพื่อนคนนี้ไม่ได้เลย” คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันล้อเลียนถึงตำแหน่งของแทนไทในขณะที่อีกคนก็ส่ายหน้าระอากับคำพูดล้อเลียนนั้น
“นายก็ไม่มีเวลาเหมือนกันนั่นแหละ เห็นว่ามีโครงการสร้างโรงแรมที่ฝรั่งเศสกับเยอรมันไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นชวนให้ร่วมหุ้นเลย” ทั้งสองคนคุยเรื่องธุรกิจที่ต้องใช้งบประมาณกว่าหมื่นล้านราวว่ามันเป็นเพียงแค่เศษเงินจนคนยืนฟังพยายามระงับความตกใจเอาไว้
คิดเสียว่าเขาคุยเรื่องดินฟ้าอากาศก็สิ้นเรื่อง
“ขอโทษทีเพื่อน พอดีฉันหุ้นกับครอบครัวของเมียฉันว่ะ เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกัน” ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสักเท่าไหร่ที่เพื่อนสนิทคนนี้จะมีภรรยาซึ่งมาจากตระกูลร่ำรวยเช่นเดียวกันและเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ ดีที่ไม่ใช่การคลุมถุงชนเพราะทั้งคู่สมัครใจที่จะแต่งงานหลังคบหากันมาหลายปี
ครอบครัวไม่มีใครขัดเพราะเงินมาต่อเงินก็มีแต่เงินทั้งนั้น ดีใจที่ลูกไม่ลงผิดไปคว้าคนไร้สกุลจนได้ข่าวว่าให้ของขวัญวันแต่งงานเป็นที่ดินราคาแพงแถวสีลมทำให้เพื่อนคนนี้เอาไปต่อยอดเปิดคลับจนชื่อเสียงโด่งดังในหมู่นักท่องราตรี
“แล้วนี่ใคร..ลูกเหรอ” บุณณดาทำตาโตแต่ก็ไม่ได้ตอบปล่อยเป็นหน้าที่ของแทนไท
ร่างสูงรีบปฏิเสธทันทีไม่ค่อยชอบใจในสถานะพ่อสักเท่าไหร่ถึงแม้บิดาของหล่อนจะอายุเท่าเขาก็เถอะ
“ผู้ช่วยเลขา” บอกเสียงเข้มทำเอาเจ้าของบังกะโลหัวเราะเสียงดังก่อนจะชวนเพื่อนไปยังรีเซฟชั่นดูแลอย่างดีทุกขั้นตอน
ปาณชัย กัณฐาภรณ์ ลูกชายคนโตของตระกูลที่เป็นหนึ่งในเรื่องโรงแรมแถบภาคใต้ตอนนี้กำลังขยับขยายไปสร้างอาณาจักรที่ประเทศแถบยุโรปและดูท่าจะไปได้สวยเสียด้วย
บังกะโลแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าจึงอยากรักษาไว้ มีแผนกำลังจะปรับปรุงในปีหน้าเพราะมันค่อนข้างเก่าและทรุดโทรมแล้ว ระหว่างทางเดินก็พูดคุยกับเพื่อนที่ไปรู้จักเพราะเรียนบริหารอยู่อเมริกาที่เดียวกัน พูดคุยสร้างความสัมพันธ์จนสนิทและสามารถสนทนาเรื่องธุรกิจได้
บางครั้งปาณชัยก็โทรไปขอคำปรึกษาจากแทนไทบ้างซึ่งมักจะได้คำแนะนำที่ดีกลับมาเสมอ
“ได้ข่าวว่านายกำลังคบกับลูกสาวของเจ้าสัวนิรุชเจ้าพ่อธนาคารยักษ์ใหญ่เหรอ” อดจะกระเซ้าเรื่องความรักของเพื่อนไม่ได้ อายุก็ปาเข้าไปสี่สิบสองแต่ยังไม่ตกลงปลงใจกับใครสักที ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสาวเข้ามาให้เลือกเสียเมื่อไหร่
เยอะจนแอบอิจฉาในความเนื้อหอมของเพื่อนด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนแทนไทจะไม่ได้สนใจใครสักคนเอาแต่มุ่งทำงานเก็บเงินจนเขาล่ะกลัวแทนว่าจะขึ้นคาน
หรือไม่ก็...ชอบไม้ป่าเดียวกัน
“ข่าวมั่วทั้งนั้น” คนที่เดินตามและแอบฟังบทสนทนาใจกระตุกทันทีเพราะตนเองก็ได้ข่าวเช่นกันว่าเขากำลังคบหากับลูกสาวของเจ้าสัวใหญ่ที่เป็นถึงเจ้าของธนาคารแห่งประเทศไทย ทรัพย์สินมหาศาลขนาดนั้นหากเป็นทองแผ่นเดียวกับแทนไทไม่ต้องคิดเลยว่าจะพากันร่ำรวยมากแค่ไหน
แล้วเธอจะเอาอะไรไปสู้กับผู้หญิงที่เพียบพร้อมคนนั้น แค่คิดก็ท้อจนต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดกับเขามากกว่าเจ้านายลูกน้องทั้งที่รู้ว่าทำได้ยากในเมื่อใจมันรักไปแล้ว
ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะตัดใจยากมากเท่านั้น..
คิดถูกไหมนะที่ย่นระยะระหว่างกันให้มันสั้นลงจนมายืนเคียงข้างชายหนุ่มแบบนี้