๑ ผู้มีพระคุณ (๒)
“ถ้าขอไปฝึกที่บริษัทคุณแทนได้ไหมคะ” ได้โอกาสก็ขอร้องทันที เธอคิดไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากไปศึกษาการตลาดในเครือ The area group ที่เติบโตได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ระยะเวลา 15 ปีเขามีอาณาจักรเป็นของตัวเองที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรง มีคนรอซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แต่น่าเสียดายที่แทนไทไม่ได้นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ดูจากเมกะโปรเจคที่กำลังจะทำในอนาคต เดาได้ไม่ยากว่าผู้บริหารหนุ่มมีแนวโน้มจะนำเครือของตนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมเงินทุนในการสร้างห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่เชื่อได้ว่าคงสร้างผลกำไรอย่างมหาศาล
“กำลังจะชวนพอดี ฉันอยากให้เธอเข้าไปฝึกที่บริษัทของฉัน” เหมือนถูกหวยทำให้หญิงสาวอยากลุกขึ้นไชโยแต่ก็ต้องสำรวมกิริยาเอาไว้
ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าไปฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้ เคยถามรุ่นพี่หลายคนที่ยื่นเรื่องไปก็ต้องเสียใจกลับมาทุกครั้งเพราะเขาไม่รับนักศึกษาฝึกงาน
“แบบนี้เรียกว่าใช้เส้นไหมคะ เห็นรุ่นพี่หลายคนบอกคุณแทนไม่รับนักศึกษาฝึกงาน”
“โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันก็อยากได้คนรุ่นใหม่มาช่วยคิดเหมือนกัน บอกตามตรงว่าบางครั้งก็ไม่ทันเทคโนโลยีหรือความคิดอ่านของคนรุ่นเธอ ได้นักศึกษาฝึกงานมาช่วยเผื่อจะมีแนวทางใหม่ๆ บ้าง”
คนฟังยิ้มแก้มปริไม่คิดว่าตนเองจะได้สถานที่ฝึกงานเร็วขนาดนี้ เหนือกว่าความรักหล่อนเริ่มจะเทิดทูนและบูชาเขาเสียแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเข้ามาหลอกหรือเปล่าแต่เพราะความสม่ำเสมอและไม่คิดเข้าหาเชิงชู้สาวสักครั้งทำเอาบุณณดาเริ่มวางใจในตัวเขา
และค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ฝังรากลึกเสียแล้ว
“ขอบคุณมากเลยนะคะ เดี๋ยวข้าวจะรีบทำเรื่องขอฝึกงานให้เร็วที่สุด” ที่จริงเธอก็ฝึกงานช่วงปิดเทอมปีที่สามแล้ว ส่วนปีที่สี่จะเป็นฝึกงานใหญ่ที่นำมาทำสารนิพนธ์จบจึงอยากเลือกสถานที่ตนเองสนใจและใฝ่ฝันจะเข้าไปทำงานสักครั้งอย่าง the area group
“แต่ฉันไม่ได้อยากให้เธออยู่แผนการตลาด” ขณะที่ดีใจเขาก็เอ่ยขึ้นทำให้คนตัวเล็กชะงักไปครู่หนึ่ง
“คุณแทนหมายความว่ายังไงคะ”
“ฉันอยากให้เธอมาเป็นผู้ช่วยเลขาของฉัน” เหมือนได้โชคสองชั้นหรือโบนัสใหญ่ประจำปี เสียงพลุดังขึ้นจนหูอื้ออึง ไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีมากขนาดนี้ เพราะนอกจากได้ใกล้ชิดหนุ่มในฝันแล้วยังได้รับประสบการณ์ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้แล้ว
ผู้บริหารระดับใหญ่ขนาดนี้มีผู้ช่วยเลขาเป็นนักศึกษาฝึกงาน แค่คิดก็เกินเอื้อมจนไม่กล้าจะรับไว้ทั้งที่ใจตื่นเต้นกับประโยคของเขา
“แต่ว่ามันจะเกิดข้อครหาไหมคะ ข้าวเป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน” ไม่อยากโดนเขม่นตั้งแต่วันแรกที่ไปทำงานจึงต้องเอ่ยถามคนชวนเสียก่อน
“ดูจากความสามารถของเธอแล้ว จะไม่มีใครกังขาได้เลย” เก่งระดับได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ทุกเทอม ไหนจะไปฝึกงานกับบริษัทใหญ่ทั้งยังมีประสิทธิภาพถึงขนาดวางแผนกลยุทธ์ของบริษัทได้อย่างเฉียบคม ใครจะกล้าพูดหรือสงสัยในความสามารถ
“คุณแทนมั่นใจในตัวข้าวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” หล่อนยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่
“ฉันมั่นใจ ว่าใบข้าวของฉันเก่งที่สุด” ได้รับคำชมก็ยิ้มแก้มปริไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนคำคนและมุ่งฝึกงานเพื่อให้ได้รับความรู้จากผู้บริหารระดับสูงคนนี้มากที่สุด
อนาคตจะได้ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใครเหมือนตอนนี้ที่ต้องหาเงินใช้หนี้แทนพ่อแทบไม่ได้พักผ่อน
อีกไม่นานเธอจะผงาดขึ้นมาให้ได้ ด้วยมันสมองและสองมือของตนเอง..
หลังลงจากรถยนต์คันหรูหล่อนก็เดินเข้าบ้านของคุณน้าที่ใจดีให้ที่พักอาศัยทั้งที่บ้านตนเองก็ไม่ได้อยู่ห่างกันเลย ท่านเอ็นดูเหมือนเธอเป็นลูกสาวคนหนึ่งอาจเพราะไม่มีครอบครัวเหลือเพียงตัวคนเดียวจึงรักบุณณดามากนัก
บ้านสองชั้นขนาดกลางล้อมรอบด้วยต้นไม้ดูอบอุ่นสบายตาเปิดต้อนรับนักศึกษาสาว เข้ามาภายในบ้านก็เห็นหญิงวัยสามสิบแปดหุ่นท้วมนั่งเย็บผ้าอยู่หน้าจอโทรทัศน์ นางเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ก่อนจะยกยิ้มให้
“ใครมาส่งจ๊ะ” น้าแพง หรือนางนลินี โชติชนิด มีอาชีพเย็บผ้าพอมีรายได้ประทังชีวิต เธอไม่มีสามีเพราะเคยผิดหวังจากรักครั้งแรกจนฝังใจจึงไม่เชื่อในความรัก แต่ไม่เคยปิดกั้นยามบุณณดากำลังคบหาดูใจกับใครสักครั้ง
นางไม่เข้าไปก้าวก่ายในชีวิตของผู้อื่นมีเพียงรับฟังและให้คำแนะนำเท่านั้นจึงกลายเป็นที่รักของหลานสาวคนนี้ได้ไม่ยาก อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่หล่อนอายุ 16 ปีจนใกล้จะเรียนจบได้ทำงาน นอกจากพ่อที่จะต้องตอบแทนในฐานะบิดาก็มีเพียงน้าแพงเท่านั้นแหละที่เธออยากตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาตลอดจนคิดว่าท่านเป็นแม่ตนเอง
“คุณแทนค่ะ” โทรศัพท์บอกว่าเธอจะกินข้าวข้างนอกนางจึงไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้เหมือนทุกครั้ง
ร่างบางเดินมานั่งข้างคุณน้าพลางหยิบนิตติ้งที่วางอยู่ตะกร้าบนโต๊ะเล็กขึ้นมาถักต่อ ริมฝีปากบางระบายยิ้มไม่ปิดบังว่าตนเองมีความสุขมากแค่ไหนจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้
“ไม่เล่าให้น้าฟังเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้หลานสาวคนนี้ยิ้มไม่หุบ” เอ่ยกระเซ้าทำเอาคนโดนล้อต้องเม้มปากแน่น
“น้าแพงน่ะ ล้อข้าวตลอดเลย”
“ก็ข้าวทำตัวให้น่าล้อทำไมล่ะ ดูสิแก้มแดงตาเป็นประกายขนาดนี้ ชอบเขามากใช่ไหม” มือเล็กกำลังถักนิตติ้งชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่เคยเป็นประกายหม่นลงแล้วหันไปถามน้าแพงที่คอยให้คำแนะนำหล่อนทุกเรื่อง
“น้าแพงว่ามันจะเป็นไปได้ไหมคะ มันเกินเอื้อมหรือเปล่า คุณแทนเขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงจะมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างข้าวจริงเหรอคะ” ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นที่สนใจของชายหนุ่มเพราะดูจากฐานะแล้วไม่น่าจะเจอกันได้
อีกทั้งยังยากที่เขาจะเข้ามาทำดีด้วยโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่กว่าสี่ปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแทนไทไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝง ชายหนุ่มปฏิบัติกับเธอสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
หากจะมีคนเปลี่ยนก็คงเป็นหล่อนที่ไม่ได้คิดกับเขาแค่ผู้มีพระคุณ
ตอบได้อย่างไม่อายว่าหลงรักคนสูงศักดิ์เสียแล้ว..
“ความรักมันไม่แบ่งชนชั้นวรรณะหรอกนะลูก ขนาดคนอินเดียที่เขาแบ่งแยกชัดเจนขนาดนั้นยังมีคนที่ยอมเป็นจัณฑาลเพื่อให้มารักกับคนที่ต่างชั้นกันเลย” ได้ฟังแล้วความกังวลก็ไม่หมดไป หล่อนถามอีกทันทีจนคนเป็นน้าต้องวางมือจากงานที่กำลังทำ
“เขาจะมาเล่นๆ กับข้าวหรือเปล่าคะ ผู้หญิงที่คู่ควรกับเขาก็เยอะ” หล่อนรู้ข่าวบ้างเรื่องผู้หญิงที่เข้าหาแทนไทไม่ขาด ทั้งลูกสาวของนักธุรกิจ ดารามีชื่อเสียง ไฮโซฐานะทางบ้านดี ล้วนเหมาะสมกับชายหนุ่มทั้งนั้น
ไม่เหมือนเธอ...ที่มีแค่ตัว
“เรื่องนี้น้าตอบไม่ได้เพราะไม่ได้คลุกคลีกับเขา แต่การที่คุณแทนไทสม่ำเสมอกับข้าวมากว่าสี่ปีมันก็บอกทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะกังวลอะไรอีกจ๊ะ น้าว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เขาแล้วมั้ง”
ปัญหามันคือความกลัวของเธอต่างหาก
บุณณดาไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร หล่อนคิดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจนพาลทำให้ไม่กล้าจะก้าวข้ามความสัมพันธ์ครั้งนี้สักที
แต่แทนไทก็ไม่ได้พูดหรือเอ่ยถึงเรื่องระหว่างเราสักครั้งทำให้คนอายุน้อยกว่าไม่กล้าฝันไกลกลัวตกลงมาแล้วมันจะเจ็บ
ชายหนุ่มไม่ได้ดีแค่กับเธอเพราะขนาดกับน้าแพงฝ่ายนั้นก็เคยเข้ามาทักทายแต่ไม่บ่อยเพราะงานที่รัดตัว แต่ก็ยังฝากของกินและของใช้มาให้ยามมีโอกาสจนดูเหมือนว่าน้าสาวจะปลื้มเขาเสียเหลือเกิน คนรวยที่นิสัยเอื้อเฟื้อโดยเนื้อแท้แบบนี้หายาก
“ถ้าข้าวยังกลัวก็ดูกันไปก่อน เรื่องความรักไม่ต้องเร่งรีบหรอกลูก ถึงเวลาเมื่อไหร่คำตอบมันก็จะมาเองอย่าไปคิดมากนักเลย แค่เรื่องเรียนก็ปวดหัวมากแล้วไม่ใช่เหรอ” ลูบศีรษะหลานสาวพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากนั้นหล่อนก็เล่าเรื่องที่จะไปฝึกงานอยู่ The area group ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาให้ฟังทันที พร้อมตื่นเต้นใหญ่ที่จะได้เรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งหาได้ยากจากคนระดับนั้น เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างหล่อนจะได้เคียงข้างประธานบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่
พูดคุยกันเสร็จก็ขอตัวขึ้นมาบนห้อง เปิดประตูไม้สีทึบถูกเปิดออกแล้วปิดลงเสียงเบา เข้ามาข้างในก็เป็นเตียงนอนที่อยู่ติดหน้าต่าง ข้างกันเป็นโต๊ะเขียนหนังสือโดยปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้า ห้องขนาดสี่เหลี่ยมไม่ได้ใหญ่มากเท่าไหร่แต่ก็อยู่ได้ไม่อึดอัด
เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์ตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแบตเหลือน้อยเต็มที พบสายที่ไม่ได้รับกว่าสิบสายและเมื่อดูชื่อก็ต้องถอนหายใจทันที
ยังไม่ทันจะโทรกลับเสียงร้องของเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นเสียก่อน “ว่าไงเปรม” เป็นเพื่อนชายคนสนิทนั่นเอง
‘โทรไปตั้งหลายรอบทำไมไม่รับ’ ถามเสียงเข้มเพราะเพียรกดหาหล่อนจนสายแทบไหม้แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับเสียที
“ฉันไปถ่ายแบบเพิ่งกลับถึงบ้าน นายมีอะไรหรือเปล่า”
เดินไปนั่งลงบนเตียงพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อย ดูเหมือนเปมทัตจะรุกหนักขึ้นทุกวันถึงแม้จะเรียนคณะเดียวกันแต่คนละภาควิชาเพราะเขาเลือกภาคพาณิชยศาสตร์สำหรับบริหารธุรกิจทางบ้านโดยเฉพาะ
ที่จริงบิดาของเปมทัตอยากให้ไปต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศแต่ชายหนุ่มไม่ยอม ยืนยันว่าอย่างไรก็จะเรียนที่ไทยจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับหล่อนได้ เขาตามติดจนเหมือนเป็นเงาตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างอึดอัดแต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้ขอพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนจึงจำต้องปล่อยผ่าน ขอเพียงแค่ไม่ล้ำเส้นที่ขีดไว้ก็พอ
‘ไปกับใคร’
“คนเดียว แค่นี้ก่อนได้ไหมฉันเหนียวตัวอยากไปอาบน้ำ” ตอบเสร็จก็รีบหาข้ออ้างเพื่อวางสาย
‘เดี๋ยวก่อนสิข้าว เอ่อ ถ้าอย่างนั้นฝันดีนะ’ โทรมาเพียงเพื่อบอกฝันดีก่อนที่หญิงสาวจะตัดสายโดยไม่ได้ตอบกลับ
อันที่จริงไม่อยากให้ความหวังเพื่อนด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าฝ่ายชายจะเจ็บมากหากถูกปฏิเสธ อย่างไรเขาก็คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด เคยคิดอยากตอบกลับความรักแต่ความรู้สึกที่มีต่อเปมทัตมันชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น
อีกอย่างหล่อนไม่กล้าทำร้ายจิตใจอรวราที่หลงรักฝ่ายชายมาตลอด ถึงแม้ไม่พูดออกมาแต่แววตาบอกหมดทุกอย่าง เธออยากให้ทั้งสองลงเอยกันทว่าไม่กล้าเป็นกามเทพกลัวเรื่องจะยิ่งบานปลาย
คำว่าเพื่อนมันช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน