บทที่ 2
เมื่อทั้งสามคนหยุดร้องไห้แล้วจินเยว่เล่าเรื่องของนางให้บิดาและมารดารู้เพราะหากนางมีพฤติกรรมที่แปลกไปพวกเขาจะได้ไม่นึกสงสัย จินเยว่คนเก่านั้นเรียบร้อยอ่อนหวาน เพียบพร้อมด้วยสี่คุณธรรม (กรอบคุณธรรมที่ใช้อบรมสตรีชั้นสูง กิริยาเพียบพร้อม พูดจาอ่อนน้อม รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน การบ้านการเรือนไม่ขาด) สามคล้อยตาม (หญิงที่ยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา ออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี สิ้นสามีต้องเชื่อบุตรชาย) สมกับเป็นสตรีในห้องหออย่างแท้จริง แต่นางในตอนนี้มิได้เป็นเช่นนั้น
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องต้องบอกพวกท่าน" จินเยว่เล่าเรื่องที่นางหลับไปสามวันแล้วหลุดไปอีกภพหนึ่งนางใช้ชีวิตอีกโลกหนึ่งเพียงลำพังเพราะเสียบิดามารดาไปกับอุบัติเหตุ ในโลกหนึ่งมีสิ่งของแปลกประหลาดที่ต่างจากที่นี่มากมาย รถม้าก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์ที่วิ่งได้เร็วกว่า เครื่องบินที่เดินทางบนฟ้าได้ อาวุธปืนที่มีอานุภาพมากกว่าธนู เครื่องอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็นต้องมีแรงงานทาส มีไฟฟ้าให้ใช้โดยไม่ต้องหวังเพียงแค่แสงเทียนหรือคบเพลิง
ตอนนี้สองสามีภรรยาตกใจจนเสียขวัญตั้งแต่ได้ยินที่บุตรสาวพูดว่านางหลุดไปอีกภพหนึ่งเมื่อสามวันที่แล้ว เรื่องราวต่างๆที่บอกเล่าออกมาจากปากน้อยๆของนางสร้างความตื่นเต้นให้เสวี่ยป๋อเหวิน ยิ่งธนาคารรับฝากเงินที่บุตรสาวเล่าเขาอยากให้มีเกิดขึ้นในแคว้นของตน แต่ตอนนี้เขาจะทำอันใดได้ แค่ชีวิตของบุตรสาวเขายังแทบจะยื้อไว้ไม่ได้เลย
ระหว่างเดินทางจินเยว่ที่ร่างกายเริ่มกลับมาแข็งแรงนางก็ทนไม่ได้ที่จะกินเพียงแผ่นแป้งกับเนื้อแห้งเท่านั้น และเมื่อหยุดแวะพักนางขอยืมมีดสั้นจากทหารวัยสิบหกคนหนึ่ง แล้วเดินหายเข้าไปในป่าเพียงลำพัง แต่นางรู้ว่ามีตนตามนางออกมา คงคิดว่านางจะหาทางหลบหนี นางจึงมิได้สนใจ
เมื่อเดินไปได้ไม่ไกลนางก็พบกับไก่ป่าสองตัว นางเลือกตัวที่ใหญ่ที่สุดแล้วขวางมีดสั้นในมือออกไปทันที ลู่ซาน คือทหารที่องค์รัชทายาทส่งมาปะปนในขบวนเดินทางเพื่อคอยดูแแลเสนาบดีเสวี่ย ที่เขาเดินตามคุณหนูเสวี่ยออกมาเพราะกลัวว่านางจะเกิดอันตราย แต่ไม่คิดว่านางจะออกมาหาจับไก่ป่า และนางยังสามารถจับได้อีกด้วย
ตอนที่ลู่ซานยังตกตะลึงอยู่นั้นจินเยว่ก็จับไก่ป่าเพิ่มได้อีกสองตัว ตอนนี้นางหิ้วไก่ป่าทั้งสามออกมาจากป่าแล้ว
"ไม่ต้องหลบแล้ว ช่วยข้าถือหน่อย" นางส่งไก่ป่าให้ลู่ซาน เพราะในห่อเสื้อของนางยังมีไข่อีกเกือบสิบฟองด้วย ทั้งคู่เดินกลับถึงที่พักนางก็ลงมือกับไก่ทั้งสามตัวทันที โดยมิได้ร้องขอให้ทหารคนใดช่วยนาง ลู่ซานจึงเดินเข้าไปช่วยเหลือนาง เขานำไก่ที่จัดการถอนขนนำเครื่องในออกแล้วไปย่าง
จินเยว่นำเครื่องในไก่ที่กินได้มาเสียบไม้ที่นางเหลาไว้แล้วไปย่างด้วย ลู่ซานมองสิ่งที่นางนำมาอย่างตกตะลึง คุณหนูเสวี่ยนางกล้ากินของสกปรกเช่นนี้หรือ เกาซื่อมองบุตรสาวที่ลงมือทำอาหารเองและยังอยู่ท่ามกลางบุรุษโดยไม่ได้รู้สึกเขินอายเลย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่บุตรสาวต้องพบเจอในอีกโลกนึกน้ำตานางก็คลอเพราะสงสารบุตรสาว นางกับสามีเชื่อบุตรสาวอย่างสุดใจว่าเรื่องที่นางเล่าคือเรื่องจริง
กลิ่นไก่ย่างพร้อมเครื่องในเรียกน้ำย่อยให้ทั้งขบวนเดินทางได้อย่างดี ไม่มีใครที่ท้องจะไม่ร้องแม้แต่เกาซื่อด้วย จินเยว่นำไก่หนึ่งตัวกับเครื่องในสองไม้ไปให้บิดามารดา ทหารที่เหลือได้ไก่สองตัวแล้วยังมีเครื่องในไก่อีกสี่ไม้ หากแบ่งกันกินก็สามารถกินได้ครบทุกคน นับว่าอาหารมื้อนี้สร้างความชื่นชมที่ทุกคนมีกับคุณหนูเสวี่ยเพิ่มขึ้น แม้แต่ของสกปรกก็อร่อยยิ่งนักเมื่ออยู่ในมือคุณหนูเสวี่ย
แม้หลายคนจะแปลกใจที่นางเปลี่ยนไปก็ตาม วันแรกที่โดนควบคุมตัวมา คุณหนูเสวี่ยได้แต่ร้องไห้ พวกตนเข้าใกล้ก็หวาดกลัว หลังจากที่นางล้มป่วยลงก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตอนนี้นางไม่ร้องไห้เสียใจอีกแล้ว แถมยังออกไปหาของป่ามาทำอาหารให้ทุกคนได้กินอีก
ตลอดการเดินทางที่เหลือจินเยว่เข้าป่าพร้อมทหารหลายนายและกับออกมาพร้อมเนื้อ เมื่อเดินทางผ่านเมืองที่มีตลาดทหารบางคนยังปลีกตัวออกไปหาซื้อเครื่องปรุงมาติดไว้ให้นางใช้ปรุงอีกด้วย ยิ่งได้เครื่องปรุงอาหารของจินเยว่ก็มีรสชาติที่ดียิ่งกว่าในเหลาอาหารดังเสียอีก
เมื่อเดินทางถึงเมืองโยวเป่ย คนที่รอรับต่างคิดว่าจะเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของทุกคนแต่ผิดคาด ทหารทุกนายล้วนน้ำหนักขึ้นแม้แต่จินเยว่ที่ผายผอมลงในตอนแรกตอนนี้ก็มีน้ำมีนวลขึ้น เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซูฮวาก็ดูแข็งแรงขึ้นกว่าตอนที่ออกจากเมืองหลวงเพราะได้รับสารอาหารที่ครบ ในขบวนไม่มีใครล้มป่วยลงอีกเลย เพราะน้ำดื่มจินเยว่ยังสั่งให้ต้มก่อนที่จะกิน
คนที่มารอรับพวกเขาในครั้งนี้มีขุนนางหลายคนทั้งที่สนิทกับบิดาและคนฝ่ายตรงข้าม สายตาที่มองมามีทั้งเห็นใจและสะใจกับความโคร้ายที่ตระกูลเสวี่ยได้รับ คงมีเพียงเสวี่ยป๋อเหวินกับเสวี่ยจินเยว่ที่ไม่สนสายตาเหล่านั้น แต่มารดาของตนอับอายเกินกว่าจะเงยหน้ามามองใครได้
นอกจากสายตาที่เห็นใจและสะใจแล้วขุนนางบางคนยังมองจินเยว่อย่างประเมินนางเหมือนนางเป็นสิ่งของที่รอให้คนมาเลือกซื้อกลับไป ตอนที่จินเยว่อยู่เมืองหลวงนางก็ได้ชื่อมาหนึ่งในสาวงามของเมืองหลวง ยิ่งเมืองทางชายแดนไม่ต้องพูดถึงสาวงามเช่นนางจะหลุดออกมาได้นับว่ามีน้อยยิ่งนัก
ใครจะไม่ชื่นชอบสาวงาม หากได้นางมาอุ่นเตียงคงจะทำให้ชีวิตของพวกเขามีสีสันยิ่งนัก แต่ตอนนี้มีทั้งคนใจกล้าและคนที่ยังลังเลอยู่ ด้วยเรื่องของเสวี่ยป๋อเหวินยังไม่ถูกตัดสินบางคนจึงยังไม่กล้าที่จะลงมือ
แต่ที่สร้างความแปลกใจเพราะครั้งนี้มีท่านแม่ทัพจ้าวร่วมอยู่ด้วย
"ก็แค่ครอบครัวนักโทษที่โดนเนรเทศ จำเป็นให้ขุนนางทั้งเมืองมารอรับด้วยหรือ" จินเยว่หันไปมองตามเสียงที่พูดขึ้น
บุรุษผิวสีน้ำผึ้งใบหน้าคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่สมกับที่เป็นทหาร สีหน้าที่มองมาที่ครอบครัวนางมีแต่ความเหยียดหยาม เหมือนสะใจที่ครอบครัวของนางตกต่ำเช่นนี้ บิดาของนางก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น มารดาของนางที่ก้มหน้าลงต่ำก็ยิ่งก้มต่ำลงไปอีก นางเชิดหน้าขึ้นมองอย่างท้าทาย ปากดีเช่นนี้สมควรได้รับการสั่งสอน แต่นางในตอนนี้อำนาจที่ตกต่ำของบิดาจะสั่งสอนให้ได้
นางได้แต่จดบัญชีแค้นนี้ไว้ในใจ หากมีวันใดที่นางเอาคืนได้ ความอับอายในครั้งนี้นางจะคืนให้เขาได้อับอายกว่าครอบครัวของนางอย่างแน่นอน