บทที่ 7 ก่อนหน้านี้เราเสียมารยาทเกินไป รีบคุกเข่าลง
ถึงแม้วรยุทธเหล่านี้จะเป็นวรยุทธที่หลินเฟิงไม่เลือก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีประโยชน์ มันไม่ดี
ในทางตรงกันข้าม ทุกวรายุทธที่อยู่ในกระสอบล้วนเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้คนในโลกหล้ารู้สึกช็อกได้เลย
อย่างไรก็ตาม
เขากลับเผามันเช่นนี้
นี่เท่ากับการปู้ยี่ปู้ยำของล้ำค่ามิใช่หรือ?
ส่วนหลินเฟิงก็รู้สึกเจ็บใจเช่นกัน
“อาจารย์ เหตุใดท่านจึงต้องเผาวรยุทธที่ดีเลิศเหล่านี้ทิ้งด้วยล่ะขอรับ!”หลินเฟิงถามด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมึนงง
“ข้ามีของพวกนี้เยอะมาก หากไม่เผามันจะเปลืองพื้นที่เอา”
จงชิงตอบกลับอย่างรีบนิ่ง
หลินเฟิง???
ท่านเจี้ยน???
ลองฟังดูซิ
นี่แม่งเป็นคำพูดที่พูดออกมาจากปากคนจริง ๆ หรือ?
แต่จงชิงกลับไม่เก็บมาใส่ใจ ก่อนจะโยนวรยุทธเข้าไปในเตาไฟต่อ
แม้นเขาก็รู้อยู่ว่าวรยุทธเหล่านี้ดีเยี่ยมมาก ๆ แต่เมื่อมีเยอะเกินไป มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยล้ำค่าในสายตาเขาแล้ว
เพราะจะให้เขามอบให้คนนอกก็ไม่ได้เช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่มีผลการฝึกตน การทำเช่นนี้มีแต่จะสร้างปัญหาให้เขามากยิ่งขึ้น
มิหนำซ้ำฟังก์ชั่นเช็คอินนั่นของเขาก็มีมาทุกวันทุกคืนเช่นกัน
ไม่นานนัก
ก็มีเสียงอี๊ด ๆ ดังมาจากกาต้มน้ำ
จงชิงยกกาต้มน้ำขึ้นมา แล้วชงชาให้ตัวเองหนึ่งกา
เขาถือน้ำชากานั้น ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้าง ๆ พลางพูดกับหลินเฟิงที่อยู่ด้านหลัง “ตามข้ามา”
“ขอรับ!”
หลินเฟิงตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนจะมาถึงห้องนอนอีกห้องพร้อมกับจงชิง
ภายในห้องนอน
มีอาวุธรูปแบบต่าง ๆ นานาจัดวางอยู่
“เจ้าเลือกชิ้นที่ตัวเองจับถนัดมือมากที่สุดชิ้นหนึ่งสิ!”จงชิงพูดอย่างเรียบนิ่ง
เมื่อหลินเฟิงและท่านเจี้ยนเห็นอาวุธจำนวนมากที่วางอยู่ในห้อง เมื่อดูแบบผิวเผินก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้อาวุธเหล่านั้น ก็มองเห็นเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างชัดเจนเลย
เนื่องจากอาวุธเหล่านี้มีธาตุทิพย์ทุกชิ้นเลย
ภายในยิ่งมีพลังอันน่าสยดสยองที่ทำให้หัวใจผู้คนสั่นคลอนแฝงซ่อนอยู่ด้วย แค่มองดูก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกขนหัวลุกได้แล้ว
ท่านเจี้ยนที่เพิ่งใจเย็นลงไปได้เล็กน้อยก็กลับมาลุกลนอีกครั้ง
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าอาวุธต่าง ๆ ที่ถูกวางอยู่ในทั้งโรงเก็บของ มีระดับสูงเหมือนวรยุทธที่เพิ่งเห็นในก่อนหน้านี้
ซึ่งในจำนวนอาวุธทั้งหมดยังไม่ขาดแคลนศัสตราวุธระดับเจ้ายุทธจักร ระดับอริยปราชญ์และระดับมหาจักรพรรดิด้วย
“เจ้าหนู รีบเลือก รีบเลือกเลย!”
ท่านเจี้ยนพูดอย่างร้อนรน
เขาในวันนี้เหมือนคนบ้านนอกที่เข้าเมืองวันแรกชัด ๆ วรยุทธทุกเล่ม ศัสตราวุธทุกชิ้นล้วนกระตุ้นต่อมประสาทของเขา
หลินเฟิงก็ตื่นเต้นดีใจจนไม่อาจระงับตัวเองได้เช่นกัน เมื่ออยู่ภายใต้การเคียงคู่ของท่านเจี้ยน ในที่สุดทั้งสองที่ยุ่งเหยิงอุตลุดก็ตัดสินใจได้สักที
ก่อนจะเลือกดาบเล่มใหญ่สีดำขลับเล่มหนึ่ง
ซึ่งดาบเล่มนี้มีนามว่าดาบทมึน
หลินเฟิงลูบไล้ดาบทมึนที่อยู่ในมืออย่างคลั่งไคล้ ยากที่จะระงับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
ดอกผลในวันนี้อยู่เหนือการคาดหมายของเขามากจริง ๆ
มากถึงขั้นที่เดิมทีเขาคิดว่าเส้นทางชีวิตของตัวเองไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งยังสามารถก้าวเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตได้อย่างราบรื่นด้วย ทว่าเขาในอดีตกลับไม่เคยได้รับสิ่งของที่เลิศเลอล้ำค่าเช่นนี้มาก่อนเลย
“เจ้าหนู ก่อนหน้านี้เรามองทุกอย่างตื้นเขินมากไปหน่อยจริง ๆ”
“เดิมทีคิดว่าอาจารย์เจ้าคือพวกไร้คุณค่า แต่เขากลับเปิดเผยดาราเสวียน และตอนแรกคิดว่าเขาเป็นเพียงดาราเสวียน แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ข้าค้นพบว่าเขาไม่ได้อยู่แค่แดนดาราเสวียน เกรงว่าต่อให้ข้าในอดีตที่อยู่ช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตอยู่ต่อหน้าเขา ก็เป็นเพียงเศษสวะชิ้นหนึ่ง!”
“ก่อนหน้านี้เราเสียมารยาทเกินไป เจ้ารีบคุกเข่าลง แล้วเรียกท่านว่าอาจารย์อย่างชื่นชมศรัทธาใหม่อีกครั้ง!”
ในแหวนไร้ขาร
ท่านเจี้ยนย้ำเตือนด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
เรื่องราวดำเนินการมาถึงบัดนี้ เขาจักยังไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าก่อนหน้านี้ตัวเองประเมินฝ่ายตรงข้ามผิดพลาดไป
ความเป็นมาของท่านผู้นี้ต้องไม่ธรรมดามากอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นละก็ จักมีทางใจปล้ำใช้วรยุทธระดับเจ้ายุทธจักรระดับมหาจักรพรรดิมาก่อไฟต้มชาดื่มได้อย่างไร?
และเมื่อได้ยินคำกำชับ หลินเฟิงก็คุกเข่าลงไปกับพื้นทันที
เดิมทีการที่จงชิงสามารถรับเขาเข้าร่วมภูอาสน์มู่ได้นั้น เขาก็รู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ แล้ว ถึงแม้ตอนแรกเริ่มเขาจะคิดว่าจงชิงคงสอนอะไรตัวเองไม่ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขาก็มองว่าจงชิงเป็นอาจารย์ตัวเองจริง ๆ
และวินาทีนี้ หลินเฟิงก็รู้สึกเคารพเลื่อมใสในตัวจงชิงโดยสิ้นเชิงแล้วจริง ๆ
“ศิษย์ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ขอรับ”
หลินเฟิงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเคารพนอบน้อม พลางกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าที่จริงใจ
“ลุกขึ้นมาเถอะ”
จงชิงโบกมือไปมา ก่อนจะมีพลังที่อ่อนโยนประคองร่างหลินเฟิงขึ้นมาจากพื้น
จากนั้นจงชิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ต่อไปไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แค่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในภูอาสน์มู่อย่างเรียบง่ายก็พอแล้ว ข้ารับประกันได้เลยว่าเจ้าจักสามารถบรรลุเป็นบุคคลขั้นสุดยอดได้อย่างแน่นอน”
และจงชิงก็ไม่ได้พูดเกินจริงเช่นกัน
ขอแค่เขาเปิดพันธนาการผู้แพ้ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของหลินเฟิงก็จะเพิ่มขึ้นร้อยเท่า
หากมีวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิและการปลุกเสกอื่น ๆ ควบคู่ ด้วยความเร็วระดับนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ขั้นสุดยอด ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับหลินเฟิงได้
“ขอบคุณอาจารย์มากขอรับ”หลินเฟิงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตัน
“แต่ทว่า……”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ จงชิงก็เปลี่ยนประเด็น สายตาจ้องมองไปทางแหวนเก็บของที่อยู่บนนิ้วหลินเฟิง “แหวนวงนี้ของเจ้าน่ะ……”
พอสิ้นเสียง
ใบหน้าของหลินเฟิงก็ดูลนลานขึ้นมาทันที
เหมือนมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาในหัวท่านเจี้ยน
ก่อนจะเหงื่อแตกท่วมตัวทันที
พูดถึงข้า
ลูกพี่ใหญ่ท่านนี้กำลังพูดถึงข้าอยู่!!!
ซึ่งตอนนี้เขาถึงจะตอบสนองกลับมาได้ ที่แท้อาจารย์ท่านนี้ของหลินเฟิงก็ค้นพบการคงอยู่ของเขาตั้งนานแล้วนี่นา หารู้ไม่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจงชิง อุบายซ่อนเร้นกระจอก ๆ ของเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ!
ณ วินาทีนี้ หลินเฟิงตกใจจนหลอดเลือดหัวใจแทบจะอุดตันแล้ว
นึกย้อนกลับไปถึงคำพูดที่ตัวเองเคยพูด รวมไปถึงการดูถูกเหยียดหยามจงชิงต่าง ๆ นานา
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกมือไม้อ่อนแรงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ผู้อาวุโสข้าผิดแล้วขอรับ ข้าเป็นคนผิดเอง”
“ก่อนหน้านี้ข้ามองทุกอย่างตื้นเขินเกินไป ไม่ควรใช้คำพูดดูถูกล่วงเกินท่านเช่นนั้น”
ในแหวนไร้ขาร วิญญาณของท่านเจี้ยนรีบโน้มตัวก้มลงไปทันที พร้อมทั้งสารภาพความผิดอย่างเคารพนบนอบ
อันที่จริง
จงชิงไม่ทราบแต่อย่างใดว่าท่านเจี้ยนจักแสดงละครมากขนาดนี้
สาเหตุที่เขาพูดถึงแหวนเอลเดนนั้น แท้จริงแล้วเขาก็มีการคาดเดาของตัวเองเช่นกัน
หากเขาเดาไม่ผิดละก็ แหวนเอลเดนนี่และศิษย์ของตัวเองน่าจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ทั้งสองถูกผูกมัดให้ติดอยู่ด้วยกัน
ฉะนั้นเขาจึงเริ่มพิจารณาว่าตัวเองจะโยนหน้าที่การอบรมสั่งสอนให้แหวนเอลเดนเสียเลย
ถึงแม้ตัวเองจะมีของดีมากมายเช่นนี้ ศักยภาพก็เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วมากเช่นกัน แต่ในด้านการชี้แนะสั่งสอน เกรงว่าอาจจะเทียบเคียงกับแหวนเอลเดนนี่ไม่ได้จริง ๆ
หลินเฟิงยิ่งบำเพ็ญเพียรได้เร็วมากเท่าไหร่ ดอกผลที่ตัวเองได้รับคืนก็ยิ่งเร็วมากเท่านั้น
เพราะฉะนั้นว่าไปแล้วแหวนเอลเดนนั่นก็สามารถกลายเป็นลูกจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาได้นี่!
แล้วเขาจะมีทางปล่อยให้ลูกจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า?
“นี่คือยาเคล็ดจิตญาณชุดหนึ่ง เจ้ารับไปสิ”
จงชิงหยิบเครื่องปรุงยาจีนชุดหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วยื่นให้หลินเฟิง เครื่องปรุงยาจีนชุดนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากการเช็คอินเช่นกัน ซึ่งเขายังมีของจิปาถะที่เป็นทำนองเดียวกันอีกเยอะมาก ๆ
“พระเจ้า!!!”
เมื่อเห็นยาเคล็ดชุดนี้ ท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนเก็บของก็เบิกตากว้างทันที
ถัดจากนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง
เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจงชิงไม่เพียงไม่ถือสาเขา แต่ยังมอบยาเคล็ดจิตญาณให้เขาด้วย ทั้งยังเป็นยาเคล็ดจิตญาณที่ล้ำค่าเช่นนี้อีก
ด้วยสภาวะที่สาหัสของเขา มาตรแม้นว่าหลินเฟิงสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้อย่างราบรื่นตามแบบแผนที่เขาวางไว้ เขาก็มีโอกาสฟื้นคืนชีพเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอุปสรรคบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร สุดท้ายหลินเฟิงจะสามารถก้าวเดินไปถึงจุดสูงสุดได้หรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
ดังนั้นภพชาตินี้ ท่านเจี้ยนเขาคงไม่มีวันได้กลับมายืนอยู่ในใต้หล้านี้ได้อีกครั้งแล้วล่ะ
แต่ถ้าเกิดมียาเคล็ดชุดนี้ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้เขาฟื้นคืนชีพกลับมาได้ในทันที แต่ก็เข้าใกล้กับความเป็นจริงอย่างยิ่งแล้ว
ซึ่งโอกาสที่เขาจะสามารถฟื้นคืนชีพกลับคืนมาก็จะพุ่งสูงถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเรื่องเวลา!
นี่เท่ากับว่าอะไร
เท่ากับว่าจงชิงได้มอบชีวิตใหม่ให้เขา!
บุญคุณที่เหมือนมอบชีวิตให้ใหม่อีกครั้ง ทำให้ท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนไร้ขารคุกเข่าแล้วก้มกราบรัว ๆ
ส่วนหลินเฟิงก็ยื่นมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาออกไปรับยาเคล็ดจิตญาณ ก่อนจะคุกเข่าลงพื้นเช่นกัน
เขาเข้าใจอยู่ว่ายาเคล็ดจิตญาณเม็ดนี้มีความหมายต่อท่านเจี้ยนอย่างไร
ทั้งชีวิตนี้ของหลินเฟิงเต็มไปด้วยอุปสรรค กำเนิดจากตระกูลเล็ก ๆ ไม่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเลยแม้แต่น้อย ถูกถอนหมั้น ถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม
ตอนแรกเขาวางแผนที่จะกระโดดหน้าผาเพื่อจบชีวิตตนเอง ทว่าการปรากฏของท่านเจี้ยนกลับทำให้เขากลับมามีความมั่นใจใหม่อีกครั้ง
สามารถพูดได้เลยว่าท่านเจี้ยนสำคัญเหมือนพ่อแท้ ๆ ของเขาเลย
“อาจารย์ผู้สูงส่ง ได้โปรดรับการกราบไหว้จากหลินเฟิงอีกครั้งด้วยนะขอรับ หลินเฟิงขอให้คำปฏิญาณ ณ ที่แห่งนี้ว่าข้าจักตั้งใจบำเพ็ญเพียร และจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน แค่ประโยคเดียวของอาจารย์ หลินเฟิงก็ยินดีบุกน้ำลุยไฟ แม้นต้องตกนรกและไม่อาจได้กลับชาติมาเกิดอีก ข้าก็จักไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน”
หลินเฟิงคุกเข่าพลางกลุ้มกราบ พลางยกฝ่ามือขึ้นมาให้คําปฏิญาณอย่างจริงใจ
เขาเข้าใจดีว่าจงชิงที่อยู่ตรงหน้าได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เขาและท่านเจี้ยน!