บทที่ 8 ไม่ต้องคิด เริ่มวรยุทธลุยมัน!
“พอแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ”
จงชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ประคองตัวหลินเฟิงขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดว่า “ถัดจากนี้ ข้าจักสอนเจ้าบำเพ็ญเพียรเอง”
“แต่ว่าอาจารย์ ข้า……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินเฟิงก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วข้าไม่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเลยขอรับ ข้าไม่ใช่พรสวรรค์สีขาวด้วยซ้ำ”
“ขอโทษอาจารย์ ข้าเป็นคนหลอกท่านเอง”
ใบหน้าของหลินเฟิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายใจ
จงชิงยิ้มอ่อน
“เรื่องพรสวรรค์ของเจ้าน่ะ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ใบหน้าของหลินเฟิงก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที อยากหารูแล้วมุดหนีไปจากที่นี่อย่างอดไม่ได้
ใช่จริง ๆ ด้วย
เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ลึกลับท่านนี้ของตน เรื่องที่ตนไม่มีพรสวรรค์ก็ถูกมองทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว
“แล้วเหตุใดอาจารย์จึงยังรับข้าเป็นศิษย์อีกเล่า?”หลินเฟิงถามอย่างรู้สึกสงสัย
“อาจเป็นเพราะถูกโฉลกกระมัง”
จงชิงยิ้มพลางตอบกลับ เขาไม่มีทางพูดความจริงออกมาอยู่แล้ว ก่อนที่จะพูดต่ออีกว่า “ในส่วนของเรื่องพรสวรรค์ของเจ้านั้น บางทีในสายตาผู้อื่นมันอาจเป็นปัญหายากที่ไม่อาจก้าวข้ามผ่านไปได้ ทว่ากลับไม่ใช่สำหรับข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
แววตาหลินเฟิงก็เป็นประกายขึ้นมา จังหวะในการหายใจก็กระชั้นขึ้นมาด้วย
“เจ้าแค่ปฏิบัติตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”
จงชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาไม่ได้เปิดพลังเสริมร้อยเท่าของศิษย์นั้น เป็นเพราะเขาจะหาจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในการเริ่มต้น
หากไม่มีจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วเปิดพลังเสริมร้อยเท่าโดยตรง ความเชื่อมั่นของศิษย์คนหนึ่งที่มีต่อตัวเองที่เป็นอาจารย์ก็จะลดฮวบลงไปเยอะมาก
สองคือหากศิษย์ถามถึงเรื่องนี้ ก็จะอธิบายยากเช่นกัน
ท่ามกลางแววตาที่ตั้งตารอคอยของหลินเฟิง จงชิงยิ้มอ่อนพลางพูด “เจ้าเลือกวรยุทธหลักที่จะฝึกจากวรยุทธที่ข้ามอบให้เจ้าในก่อนหน้านี้ก่อน บัดนี้ข้าจักสอนคาถาปรปักษ์สวรรค์ท่อนหนึ่งให้เจ้า ขณะที่เจ้าบำเพ็ญเพียร เจ้าแค่ต้องท่องสัจจคาถาที่ข้าสอนให้เจ้าในใจก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากพูดจบ จงชิงก็เดินเข้าไปใกล้หลินเฟิง ก่อนจะกำชับฝ่ายตรงข้ามอย่างลึกลับ
หลินเฟิงตั้งใจฟัง แต่ว่าหลังจากฟังจนจบ เขาก็รู้สึกสงสัยในชะตาชีวิตของตัวเองเลย
“อาจารย์ ง่ายขนาดนี้ มันจักได้ผลจริงหรือขอรับ?”
“ต้องได้ผลอยู่แล้วสิ เจ้าแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”จงชิงเน้นย้ำอย่างเคร่งขรึม “จงจำไว้ด้วยว่า อย่าริอ่านเปิดเผยสัจจคาถาที่ข้าสอนเจ้า มิเช่นนั้นมันก็จะไม่ขลังแล้ว”
“เอาล่ะ บัดนี้เจ้าไปทดลองในห้องพักข้าง ๆ ดูสิ”
จงชิงอมยิ้ม ก่อนจะกลับไปนอนบนเก้าอี้นอนอย่างชิลล์สบาย
หลินเฟิงใช้มือเกาหัว
แค่ท่องคำว่า“ไม่ต้องคิด เริ่มวรยุทธลุยมัน”ก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้วจริง ๆ หรือ?
หลินเฟิงเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิพร้อมกับความสงสัย
“เจ้าหนู เมื่อครู่ข้าลองพิจารณาดูแล้ว คัมภีร์มหาโยธาเล่มนั้นเหมาะสมกับเจ้าที่สุด หลังจากบำเพ็ญถึงแดนบรรลุผล เจ้าก็สามารถควบคุมฟ้าดินและธาตุดินไม้ได้เลย เพราะฉะนั้นเจ้าเลือกฝึกคัมภีร์มหาโยธาดีกว่า”ในโลกย์ไร้ขาร ท่านเจี้ยนพูดแนะนำ
เขาก็อยากทดลองดูอย่างอดใจรอไม่ไหวเช่นกันว่า สัจจคาถาที่จงชิงสอนสามารถทำให้ผู้แพ้ขั้นหนึ่งบำเพ็ญเพียรได้จริง ๆ หรือไม่
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ถามเนื้อหาของสัจจคาถา
“ได้!”
หลินเฟิงตอบกลับอย่างหนักแน่น ก่อนจะเปิดคัมภีร์มหาโยธาเล่มนั้นออก แล้วเริ่มลองบำเพ็ญเพียรตามสิ่งที่บรรยายบนคัมภีร์
ในขณะเดียวกัน
เขาก็เริ่มท่องสัจจคาถาที่จงชิงสอนให้เขาด้วย
ไม่ต้องคิด เริ่มวรยุทธลุยมัน!
ในห้องโถง จงชิงเปิดกระแสสัมผัสแอบมองหลินเฟิงรอบหนึ่งแล้วรู้สึกพึงพอใจมาก
จากนั้นเขาก็เริ่มใช้ความคิดประสานกับระบบ แล้วแอบเปิดพลังเสริมร้อยเท่าของพันธนาการผู้แพ้
ในส่วนของสัจจคาถานั้น
ไม่ใช่เป็นเพราะจงชิงไม่จริงจัง
เขาก็อยากหาคำที่มันฟังดูลื่นหู ดูแข็งกร้าวหรือแหกกฎสวรรค์เช่น
ไม่ว่าจะย่ำแย่มากเพียงใดอย่างน้อยคำก็ต้องสัมผัสกัน หรือเหมือนบทกวีในสมัยถัง
ทว่าหลังจากก้าวข้ามมิติกาลเวลามา ความรู้ที่เขาร่ำเรียนมาจากชาติปางก่อนก็แทบจะลืมไปหมดแล้ว
หมดหนทาง จึงทำได้เพียงคิดสัจจคาถาอย่างเรื่อยเปื่อย
โชคดีที่สัจจคาถานี่เป็นเพียงคำบรรยาย ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลที่แท้จริงแต่อย่างใด
และจากการที่จงชิงเปิดพลังเสริมร้อยเท่า หลินเฟิงที่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องก็เห็นผลอย่างรวดเร็ว
ชี่ทิพย์ฟ้าดินเริ่มโคจร แล้วพุ่งตรงไปทางเขา
แทบจะภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น หลินเฟิงที่แทบจะไม่เคยได้สัมผัสกับชี่ทิพย์มาก่อน ร่างกายก็เต็มเปี่ยมไปด้วยชี่ทิพย์ทันที
เสมือนมีน้ำแร่จำนวนมากทะลักเข้าไปในลำน้ำที่แห้งขอด
สามารถพูดได้เลยว่า
เมื่อมีพลังเสริมร้อยเท่าควบคู่กับประสิทธิผลของวรยุทธระดับมหาจักรพรรดิ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของหลินเฟิงก็ไม่ใช่สิ่งที่อัจฉริยะเหล่านั้นสามารถเทียบเคียงได้ด้วยซ้ำ
วินาทีถัดไป
หลินเฟิงก็เริ่มบรรลุ
ฝึกก่อร่างขั้นหนึ่ง
ฝึกก่อร่างขั้นสอง
ฝึกก่อร่างขั้นสาม
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แดนของหลินเฟิงก็บรรลุถึงแดนหลังฟ้าได้อย่างง่ายดาย
“อาจารย์ สำเร็จแล้ว ข้าทำสำเร็จแล้วจริง ๆ!”
สัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลเวียนในร่างกาย หลินเฟิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นจึงวิ่งไปหน้าจงชิงอย่างมีความสุข ตะโกนโห่ร้องอย่างมีความสุข น้ำตาไหลพรากลงมาจากตา
เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองเฝ้าคอยวันนี้มานานเท่าไหร่
ส่วนท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนไร้ขารก็ตื่นเต้นดีใจมากเช่นกัน
หลินเฟิงมองว่าเขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง แต่เขาเองก็มองหลินเฟิงเป็นลูกของตัวเองเหมือนกันมิใช่หรือ
ถึงแม้เขาจะปูเส้นทางแห่งอัคคีอภินิหารให้หลินเฟิงแล้ว ซึ่งสามารถทำให้เขามองข้ามร่างแห่งผู้แพ้แล้วเริ่มบำเพ็ญเพียรได้เช่นกัน ทว่ายังไม่ต้องพูดถึงระดับความยากในการตามหาผู้แพ้ เดิมทีเส้นทางนี้ก็เป็นเส้นทางที่มีโอกาสรอดต่ำมาก ๆ อยู่แล้ว
จักเหมือนอย่างวินาทีนี้ได้อย่างไร หลินเฟิงสามารถเริ่มบำเพ็ญเพียรได้อย่างง่ายดายเลย
อีกทั้งภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลินเฟิงก็บรรลุถึงแดนหลังฟ้าโดยตรง
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสัจจคาถาที่แหกกฎสวรรค์มากเพียงใด ไม่เพียงสามารถมองข้ามร่างแห่งผู้แพ้ ยังมีความเร็วในการบำเพ็ญเพียรที่น่าสยดสยองเช่นนี้ด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
ท่านเจี้ยนรู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
จงชิงทำให้ขีดความรู้ของเขาเปลี่ยนแปลงใหม่อยู่เรื่อยเลย
ทรัพย์สินระดับนี้ อุบายเช่นนี้ มาตรแม้นว่าเป็นเขาที่อยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต ก็ไม่เคยประสบพบเจอหรือได้ยินมาก่อน
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้า!”
จงชิงมองดูหลินเฟิงตรงหน้าที่มีความสุขจนน้ำตาไหล ใช้มือลูบศีรษะเขาพลางหัวเราะเบา ๆ แล้วพูด “ต่อไปเจ้าต้องขยันให้มากกว่าเดิมแล้วล่ะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
“ได้เลยขอรับอาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”
หลินเฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หลังจากพูดจบ หลินเฟิงก็จากไปอย่างมีความสุข เร่งกลับไปยังถ้ำของตัวเอง
อย่างไรเสียภายในถ้ำก็มีการปลุกเสกจากค่ายกลอยู่ ซึ่งสามารถยกระดับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนได้เร็วยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นหลินเฟิงที่มีความสุข จงชิงก็รู้สึกสุขใจเช่นกัน
เพราะในขณะที่ผลการฝึกตนของหลินเฟิงเพิ่มขึ้น เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเช่นกันว่าผลการฝึกตนกำลังเพิ่มขึ้นด้วยระดับความเร็วที่น่ากลัวมาก
ผลการฝึกตนที่ย้อนกลับมาหนึ่งพันเท่าเป็นอะไรที่น่าสยดสยองมากจริง ๆ!
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างช้า ๆ
จากการที่หลินเฟิงบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็ง หลินเฟิงสัมผัสได้อยู่ว่าผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มสูงขึ้นทุกวินาที ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน ผลการฝึกตนแดนดาราเสวียนของเขาก็บรรลุหนึ่งแดนเล็กแล้ว
คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นาน เขาก็สามารถบรรลุถึงแดนจันทราเสวียนที่คนจำนวนมากต่างใฝ่ฝันแล้ว
วันนี้
หลินเฟิงปฏิบัติตามคำสั่งเฉพาะการของท่านเจี้ยน มาถึงกลางกลุ่มภูเขาใหญ่ที่อยู่ห่างจากภูอาสน์มู่นับร้อยลี้
ซัดหมัดออกไปครั้งหนึ่ง อสูรมารที่ลำตัวยาวหกเมตรกว่าก็ล้มลงข้างเท้า
“ฮู่ว!”
หลินเฟิงมองดูของที่ยึดมาได้จากศัตรูแล้วรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเป็นคนไร้ค่าที่บำเพ็ญเพียรไม่ได้อยู่เลย ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน กลับสามารถสังหารอสูรมารเช่นนี้ได้ในหมัดเดียวแล้ว
“หากใช้ดาบทมึน ต่อให้เป็นอสูรมารที่สูงกว่ามันสองระดับ ข้าก็สามารถสังหารได้ในกระบวนท่าเดียวแล้ว”หลินเฟิงพูดอย่างอดไม่ได้
“เจ้าหนูจงจำไว้ด้วยว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์เจ้า แม้นเจ้าจักก่อความวุ่นวายอะไรก็ไม่เป็นไร ทว่าหากอาจารย์ไม่อยู่ข้างกายเจ้า ตราบใดที่ศักยภาพของเจ้ายังแข็งแกร่งไม่มากพอ หากไม่ได้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ ทางที่ดีเจ้าอย่าใช้ดาบทมึนจะดีกว่า”
และในเวลานี้เอง ก็มีคำอบรมสั่งสอนของท่านเจี้ยนสะท้อนออกมาจากแหวนไร้ขาร
“ขอรับท่านเจี้ยน ข้าเข้าใจ”
หลินเฟิงพยักหน้าอย่างถ่อมตัว
“เอาล่ะ หลังจากผ่านการต่อสู้มายกหนึ่ง รากฐานที่บรรลุอย่างรวดเร็วในก่อนหน้านี้ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว เจ้าโคจรวรยุทธต่อเลย จากนั้นค่อยใช้สัจจคาถาที่อาจารย์เจ้าสอนเจ้าบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่เลยแล้วกัน หลังจากบรรลุอีกสองสามแดน ค่อยไปสู้กับอสูรมาร”ท่านเจี้ยนพูดอีก
“ได้เลยขอรับ”
หลังจากตอบกลับคำหนึ่ง หลินเฟิงก็นั่งขัดสมาธิลงไปกับพื้น
พลางโคจรคัมภีร์มหาโยธา พลางท่องไม่ต้องคิด เริ่มวรยุทธลุยมันในใจ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่สภาวะการบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว
นั่งลงไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น หลินเฟิงก็มีการบรรลุอีกครั้ง
หลังฟ้าขั้นเจ็ด
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง
หลังฟ้าขั้นแปด
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน
หลังฟ้าขั้นเก้า
หลังจากผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน หลินเฟิงก็ก้าวเข้าสู่แดนแห่งก่อนฟ้าโดยตรง
มองดูหลินเฟิงที่บรรลุ ท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนไร้ขารก็รู้สึกตะลึงจนชินชาไปตั้งนานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเป็นการข้ามเส้น เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสัจจคาถาที่ใช้ในการเพ็ญตนนั่นคืออะไรกันแน่ ไม่นึกเลยว่าจะมีประสิทธิผลที่น่าสยดสยองเช่นนี้!
เพราะถ้าเกิดอาศัยวรยุทธระดับมหาจักรพรรดิอย่างเดียว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรไม่มีทางรวดเร็วขนาดนี้แน่นอน
ทุกอย่างจึงเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่า สาเหตุแท้จริงที่สามารถทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของหลินเฟิงรวดเร็วปานนี้นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับสัจจคาถานั่น
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางกลุ่มภูเขาใหญ่ที่หลินเฟิงอยู่ ด้านล่างน้ำตกแห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์งดงาม สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในชุดขาวลืมตาขึ้นมา
“นึกไม่ถึงเลยว่าในโลกใบนี้จะมีหนุ่มอัจฉริยะที่มีความเร็วในการบำเพ็ญเพียรรวดเร็วเช่นนี้”
“ต้องรับชายหนุ่มเช่นนี้เข้ามาในกองกำลังใต้บังคับบัญชาให้ได้!”