บทที่ 5 ขยะอย่างพวกเจ้า คิดจะเข้าร่วมภูอาสน์มู่ของข้า ยังไม่มีสิทธิ์
ประมุขภูคนหนึ่งที่อยู่บนที่นั่งแขกคนสำคัญถามด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา
ส่วนคนอื่นที่เหลือก็ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ภายในจิตใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
ก่อนจะนำสายตาจับจ้องไปทางเจ้าสำนักซวนหยวนหงอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าของซวนหยวนหงก็เปี่ยมล้นไปด้วยความงุนงงเช่นกัน สีหน้านั่นราวกับกำลังบอกว่าเจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามผู้ใด
แน่นอนอยู่แล้วว่า
คนที่รู้สึกเหลือเชื่อมากที่สุดย่อมต้องเป็นต้วนเฟิงอยู่แล้ว
ในขณะที่เป็นคู่กรณี เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าพลังที่แฝงซ่อนอยู่ในหมัดนั้นของจงชิงเป็นอย่างไร
นั่นไม่ใช่พลังที่แดนอย่างเขามีด้วยซ้ำ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
เหตุใดไอ้ลูกหมานี่จึงมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าเขา?!
และในเวลานี้เอง สายตาของจงชิงก็จับจ้องมาทางเขา
“มึงคิดจะฆ่ากูหรือ?”
ต้วนเฟิงมองจงชิงด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
วินาทีต่อไป จงชิงก็เคลื่อนไหวแล้ว
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จงชิงก็มาถึงหน้าต้วนเฟิงแล้ว ก่อนจะซัดหมัดออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีของจงชิง ต้วนเฟิงก็รู้สึกขนหัวลุกไปหมด ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องระดมพลังทั้งหมดในร่างกายมาป้องกัน
แต่หมัดนี้กลับทลายเกราะป้องกันของเขาไปได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปโดยตรง กระเด็นไปด้านหลังอย่างรุนแรงแล้วพุ่งชนเข้ากับสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านหลังจนกลายเป็นพื้นที่เรียบ
หลังจากโจมตีด้วยหมัดนี้ จงชิงก็ยังไม่มีท่าทีที่จะปล่อยเขาไปแต่อย่างใด
แต่เป็นการประชิดใกล้ต้วนเฟิงด้วยสีหน้าที่ดูทะเล้นอีกครั้ง
“ช่วย ช่วยข้าด้วย เจ้าสำนัก ช่วยข้าด้วย!”
กลางซากปรักหักพัง สรีระร่างกายของต้วนเฟิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว พร้อมกับส่งเสียงขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
วินาทีนี้
เขารู้สึกกลัวแล้วจริง ๆ
คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผู้แพ้นี่จักปกปิดได้แนบเนียนเช่นนี้
หากรู้ว่าจงชิงมีศักยภาพเช่นนี้ แล้วเขาจะกล้ารุกรานฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร
เมื่อเสียงขอร้องอ้อนวอนดังขึ้น ทำให้ผู้คนที่เหม่อลอยไปในตอนแรกดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะพากันซี๊ดปาก
ต่างก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าวันนี้จะมีเหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้เกิดขึ้น
ประมุขภูไร้ประโยชน์ของภูอาสน์มู่ถึงกับกระทืบประมุขภูแห่งภูเทพกระบี่อันดับหนึ่งจนต้องตะโกนขอความช่วยเหลือเลยอย่างนั้นหรือ
อย่างไรเสียต้วนเฟิงก็เป็นประมุขภูของภูเทพกระบี่อยู่ หากเขาตายไปจริง ๆ มันก็จะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ
ในขณะที่ผู้คนกำลังจะเข้าไปช่วยเหลืออยู่นั้น กลับสังเกตเห็นว่าจงชิงได้หันขวับกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว?”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นนี้ทำให้ผู้คนที่เตรียมตัวไปช่วยเหลือหยุดชะงักไป
ส่วนเจ้าสำนักอย่างซวนหยวนหงก็กำลังหรี่ตามองจงชิงเช่นกัน เนื่องจากวินาทีนี้แม้แต่เขาเองก็มองประมุขภูผู้ไร้คุณค่าในอดีตนี่ไม่ทะลุเช่นกัน
สำหรับจงชิงแล้ว แม้นเขาจะเป็นคนธรรมะธรรมโม ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อก่อนเขาบำเพ็ญเพียรไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาคือพวกอ่อนแอที่ยอมให้ผู้อื่นกดขี่ข่มเหง
ในเมื่อผู้อื่นหวังจะปลิดชีพเจ้า ไยจึงต้องออมมือให้ด้วย?
เขากราดมองต้วนเฟิงลงมาจากที่สูง
“ชาติหน้า อย่าคิดที่จะเป็นศัตรูกับกูอีก”
ใบหน้าของต้วนเฟิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ มีความเจ็บปวด ความโกรธแค้น มีความคิดที่จะกราบขอร้องอ้อนวอน แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่ากลับเป็นความรู้สึกเสียใจทีหลัง……
แต่เมื่ออยู่ภายใต้กำปั้นของจงชิง ความรู้สึกต่าง ๆ นานาของเขาก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว
จากการที่ต้วนเฟิงตายไป
ที่เกิดเหตุก็เงียบสงัดมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกขนหัวลุก
ไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าประมุขภูอาสน์มู่ที่ถูกเรียกว่าผู้แพ้จะระเบิดศักยภาพเช่นนี้ออกมา
และยิ่งคาดไม่ถึงด้วยว่าต้วนเฟิงประมุขภูแห่งภูเทพกระบี่ที่นึกว่าตนเองเก่งแท้ที่สุดจักล่วงลับไปจากโลกใบนี้ด้วยวิธีการนี้
ยิ่งกว่านั้นคือผู้ที่มีสายตาแหลมคมในที่เกิดเหตุดูออกอยู่ว่า
หากจงชิงคิดจะทำ เขาสามารถสังหารต้วนเฟิงได้ในหมัดเดียวเลย
และเมื่อครู่สาเหตุที่ใช้สามหมัดถึงจะปลิดชีพเขาโดยสิ้นเชิงนั้น มันเหมือนกำลังทดสอบอยู่มากกว่าว่าต้วนเฟิงสามารถแบกรับพลังของเขาได้มากน้อยเท่าไหร่ หรือจะพูดว่าเขากำลังเล่นสนุกกับต้วนเฟิงอยู่
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือผลการฝึกตนของจงชิงอาจจะอยู่สูงกว่าศักยภาพที่เขาแสดงออกมาก็เป็นได้
“ฮู้ นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าข้าจักประเมินอาจารย์ไร้ประโยชน์นี่ของเจ้าผิดพลาดไป”
ส่วนข้าง ๆ ท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนเก็บของของหลินเฟิงก็เอ่ยปากพูดเช่นกัน
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าอาจารย์ข้าเก่งกาจมากเลยรึ?”หลินเฟิงอดถามไม่ได้
“ก็ไม่ถึงขั้นเก่งการหรอก แค่ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง”ท่านเจี้ยนพูดอย่างเย็นชา “ดูจากผลการฝึกตนของเขา น่าจะอยู่แค่แดนดาราเสวียนเท่านั้นแหละ ซึ่งข้าในอดีตสามารถสังหารแดนดาราเสวียนจำนวนมากได้ในฝ่ามือเดียวเลยล่ะ”
“เพราะฉะนั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถสร้างคุณประโยชน์และให้การช่วยเหลือเจ้าได้มากเท่าไหร่นัก”
กลางสนามจัตุรัส
หลังจากดึงสติกลับมาจากความช็อกที่เห็นจงชิงสังหารต้วนเฟิง เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมคภูเทพกระบี่ในตอนแรกก็พุ่งตรงไปทางจงชิงกะทันหัน
“ท่านประมุขภูจง ข้ายินดีเข้าร่วมภูอาสน์มู่ โปรดให้ข้าเข้าร่วมภูอาสน์มู่เถิดนะขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะ โปรดให้ข้าเข้าร่วมภูอาสน์มู่เถิดเจ้าค่ะ!”
เมื่อเสียงของคนกลุ่มแรกสะท้อนออกไป คนที่มาต่อแถวฝั่งนี้ก็ยิ่งอยู่ยิ่งมาก ซึ่งทุกคนล้วนมองเห็นผลประโยชน์ในการเข้าร่วมภูอาสน์มู่
ยังไม่ต้องพูดถึงศักยภาพที่จงชิงแสดงออกมา ประเด็นคือภูอาสน์มู่ไม่มีคนไง!
หากมีโอกาสได้เข้าร่วมภูอาสน์มู่ก่อน เช่นนั้นก็จะได้ใช้ทรัพยากรทั้งหมดของภูอาสน์มู่เลยมิใช่หรือ?
ทุกคนล้วนอยากเป็นคนแรกที่ได้กินปูทั้งนั้นแหละ
“ข้าก็ยินดีเข้าร่วมภูอาสน์มู่เช่นกันขอรับ”
“ภูอาสน์มู่คือยอดภูอันดับหนึ่งแห่งสำนักเซียนเจียง ข้ายินดีเข้าร่วมเจ้าค่ะ”
“ไสหัวไป ข้าเป็นคนแรกที่บอกว่าอยากเข้าร่วมภูอาสน์มู่ เจ้าถอยไปด้านหลังเลย”
ภายในเวลาชั่วขณะ ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าจงชิงก็พลุกพล่านมา แต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นมาก ต่างอยากช่วงชิงกันเป็นที่หนึ่ง พร้อมทั้งรอคอยคำตอบจากจงชิง
จงชิงมองดูกลุ่มศิษย์ที่คึกคักมีชีวิตชีวากลุ่มนี้
คำพูดที่มีคนบอกว่าแม้แต่หมายังไม่อยากเข้าร่วมภูอาสน์มู่เลยจึงผุดขึ้นมาในหัว
ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้มอย่างอดไม่ได้
“สวะอย่างพวกเจ้าน่ะ ยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมภูอาสน์มู่ของข้า!”
พอสิ้นเสียง กลุ่มคนที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นก็หน้าแดงหูแดง
หลังจากพูดจบ จงชิงก็ไม่มองพวกเขาด้วยซ้ำ ก่อนจะเดินไปข้างกายซวนหยวนหงโดยตรง
“เจ้าสำนัก รับศิษย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับภูอาสน์มู่ก่อนนะขอรับ”จงชิงประสานมือก้มคำนับพลางพูดกับซวนหยวนหง
ซวนหยวนหงมองจงชิงที่อยู่ด้านหน้ารอบหนึ่ง
ในใจมีคำถามมากมายที่อยากสอบถาม
แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถามไม่ออกอยู่ดี ก่อนจะอมยิ้มยังอ่อนโยนแล้วตอบกลับว่า “ได้เลย”
จงชิงผงกหัว ก่อนจะพาหลินเฟิงที่อยู่ข้างกายมุ่งหน้าตรงไปยังภูอาสน์มู่
มองดูจงชิงและหลินเฟิงที่จากไป ศิษย์จำนวนมากต่างรู้สึกเสียใจทีหลังมาก ๆ รู้สึกอิจฉาหลินเฟิงถึงขีดสุด
นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์พรสวรรค์สีขาวคนหนึ่งจะมีอาจารย์ที่มีศักยภาพอย่างจงชิง
แถมภูอาสน์มู่ยังไม่มีคนอีก ซึ่งก็เท่ากับว่าหลินเฟิงจะได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุดในภูอาสน์มู่
หากพวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมภูอาสน์มู่ตั้งแต่แรก เกรงว่าก็น่าจะได้รับสวัสดิการที่ดีเลิศนั้นเช่นกัน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว
ใต้หล้าก็ไม่มียาแก้อาการเสียใจทีหลังอยู่ดี
หลังจากผ่านไปไม่นาน จงชิงก็พาหลินเฟิงกลับมาถึงภูอาสน์มู่
แตกต่างจากภูเอกที่มีผู้คนล้นหลาม ภูอาสน์มู่ดูเงียบเหงามากอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งนอกจากทิวทัศน์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย
หลังจากกลับไปถึงภูอาสน์มู่ จงชิงก็ใช้เนตรฟ้ามองหลินเฟิงเป็นเวลาแรก
อย่างไรเสียระบบก็เคยบอกแล้วว่าหากต้องการกระตุ้นพันธนาการผู้แพ้ ศิษย์ที่รับจำเป็นต้องเป็นผู้แพ้ และในขณะที่ตรวจสอบพรสวรรค์ พรสวรรค์ที่ปรากฏของหลินเฟิงคือสีขาว ซึ่งไม่ใช่ผู้แพ้แต่อย่างใด
ฉะนั้นจงชิงก็อยากไขข้อสงสัยนี้เช่นกัน
「หลินเฟิง」
「อายุ 16」
「ผลการฝึกตน ไม่มี」
「พรสวรรค์ ไม่มี」
「จังหวะและโอกาสในชีวิต สวมใส่แหวนไร้ขารวงหนึ่งบนมือข้างซ้าย ในแหวนไร้ขารมีญาณเศษของผู้แข็งแกร่งแดนนภาเสวียนคนหนึ่งซ่อนอยู่」
「หมายเหตุ สาเหตุที่มีรัศมีสีขาวปรากฏขณะตรวจสอบพรสวรรค์นั้น เป็นฝีมือของญาณเศษที่อยู่ในแหวน」
แทบจะภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ข้อมูลทั้งหมดของหลินเฟิงก็ปรากฏในหัวจงชิง
มีสีหน้าที่ดูน่าสนใจปรากฏบนใบหน้าจงชิง
แหวนเอลเดนอย่างนั้นหรือ
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง……