บทที่ 4 เขา เขาคือผู้แพ้มิใช่หรือ เหตุใดเขา……
「ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่รับหลินเฟิงเป็นศิษย์สำเร็จ กระตุ้นพันธนาการผู้แพ้สำเร็จ 12」
「ประสิทธิผลของพันธนาการผู้แพ้ 12 ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของศิษย์เพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่า ผลการฝึกตนของศิษย์จะถูกส่งคืนให้โฮสต์หนึ่งพันเท่า ในขณะเดียวกันโฮสต์สามารถเปิดปิดระดับความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของศิษย์ได้ตลอดเวลา」
「ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่กระตุ้นสมรรถนะพันธนาการสำเร็จครั้งแรก ขอมอบรางวัลให้ผลการฝึกตนของโฮสต์พุ่งขึ้นถึงแดนดาราเสวียนโดยตรง」
「ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่กระตุ้นสมรรถนะพันธนาการสำเร็จ 12 ขอมอบวงรัศมีทรงศักดิ์ให้แก่โฮสต์ ซึ่งประสิทธิผลของวงรัศมีทรงศักดิ์คือจักไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุคลื่นผลการฝึกตนของโฮสต์ได้」
「ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่มีผลการฝึกตนครั้งแรก ขอมอบเนตรฟ้าให้แก่โฮสต์ ซึ่งประสิทธิผลของเนตรฟ้าคือสามารถมองทะลุความลับของทุกคนในโลกได้」
เมื่อได้ยินเสียงของระบบสะท้อนขึ้นมาในหัว ใบหน้าของจงชิงก็เต็มไปด้วยความดีใจ
ในที่สุดผลการฝึกตนที่ตัวเองใฝ่ฝันมานานก็มาสักที!
ในขณะที่กำลังมีความสุขอยู่นั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีพลังฟ้าดินที่แข็งแกร่งพุ่งเข้าไปในร่างกายตัวเอง
นี่คือผลการฝึกตนของแดนดาราเสวียนหรือ?
จงชิงสัมผัสพลังอันแข็งแกร่งในร่างกาย ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างควบคุมไม่ได้
เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าของรางวัลจะมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นทำให้ผลการฝึกตนของเขายกระดับขึ้นไปถึงแดนดาราเสวียนเลยอย่างนั้นหรือ
ซึ่งผลการฝึกตนของโลกใบนี้แบ่งออกเป็นฝึกกลั่นร่าง หลังฟ้า ก่อนฟ้า แดนทิวาเสวียน แดนดาราเสวียน แดนจันทราเสวียน แดนปฐพีเสวียนและแดนนภาเสวียน
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ในสายตาของปุถุชนทั่วไป แดนก่อนฟ้าก็ถือเป็นบุคคลปานเทพเจ้าแล้ว สามารถโบยบินบนกลางอากาศที่ว่างเปล่า
ส่วนแดนทิวาเสวียนก็สามารถบรรลุเป็นผู้อาวุโสในสำนักหนึ่งได้แล้ว อาทิเช่นเหล่าประมุขภูแห่งสำนักเซียนเจียง พวกเขาก็แค่อยู่ในแดนทิวาเสวียนเช่นกัน ส่วนตัวเองกลับก้าวขึ้นสู่แดนที่อยู่เหนือพวกเขาหนึ่งแดนใหญ่ในรวดเดียว
ระบบไม่ได้โกหกกลั่นแกล้งข้านี่!
ซึ่งวงรัศมีทรงศักดิ์และเนตรฟ้านี่ก็ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ วงรัศมีทรงศักดิ์คือทักษะล้ำเลิศของสายซุ่ม ส่วนเนตรฟ้าที่สามารถมองทะลุความลับทั้งปวงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จงชิงมองกระดานของระบบอีกครั้ง
「โฮสต์ จงชิง」
「ผลการฝึกตน แดนดาราเสวียน」
「ศิษย์หลินเฟิง ผลการฝึกตน ไม่มี สามารถเปิดความเร็วในการบำเพ็ญเพียรได้ร้อยเท่า」
「กระตุ้นพันธนาการผู้แพ้สำเร็จ 12」
「ฐานกายที่ได้รับ ไม่มี」
「ทักษะพิเศษที่ได้รับ วงรัศมีทรงศักดิ์ เนตรฟ้า」
ไม่เลวจริง ๆ
จงชิงรู้สึกทอดถอนใจ
และในเวลานี้เอง การรับศิษย์ก็ดำเนินการมาถึงช่วงท้ายแล้ว
นอกเหนือจากผู้คนที่ถูกประมุขภูคัดเลือกด้วยตนเองได้กลายเป็นศิษย์คนสนิทแล้ว คนอื่นที่เหลือสามารถตัดสินใจเข้าร่วมยอดภูอื่น ๆ ได้ตามอำเภอใจ โดยจะมีตัวตนเป็นศิษย์ธรรมดา
ภายในเวลาชั่วขณะ ผู้คนก็พลุกพล่านไปมา
ไม่นานนัก ยอดภูต่าง ๆ ก็มีศิษย์เพิ่มขึ้นเยอะมาก บรรยากาศในยอดภูคึกคักอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามภูอาสน์มู่ของจงชิงกลับเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดเข้าร่วมสักที
“มีคนอยากเข้าร่วมภูเทพกระบี่เยอะขนาดนี้อีกแล้วหรือ?”
บนเวทีที่ตั้งอยู่ที่สูง ต้วนเฟิงยืนไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง เหล่ตามองจงชิงที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่ง แล้วพูดอย่างนี้เลศนัยว่า “แต่ทว่าศิษย์ในภูเทพกระบี่ของข้ามีเยอะจนล้นแล้ว ภูอาสน์มู่ของพวกเจ้าแบ่งไปหน่อยไหม?”
เมื่อสิ้นเสียง เหล่าศิษย์ที่มาสมัครก็ต่างไม่เต็มใจมาก
“อย่าสิขอรับท่านประมุขภูต้วน โปรดให้เราเข้าร่วมภูเทพกระบี่ด้วยเถิด อย่าให้เราไปภูอาสน์มู่เลยนะขอรับ มิเช่นนั้นเราคงไร้คุณค่าแล้วจริง ๆ”
“นั่นน่ะสิ ท่านประมุขภูของภูอาสน์มู่บำเพ็ญเพียรไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเราเข้าร่วม มันจักมีผลดีแก่เราหรือ?”
“แม้แต่หมายังไม่อยากเข้าร่วมภูอาสน์มู่เลย”
“ขอแค่ไม่ให้เราเข้าร่วมภูอาสน์มู่ แม้นจักต้องเป็นศิษย์รับใช้ในยอดภูอื่น ๆ เราก็เต็มใจ”
ผู้คนต่างพากันพูดอย่างลุกลน
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่โหดเหี้ยมก็เป็นเช่นนี้
ความไร้ศักยภาพก็เป็นบาปอย่างหนึ่งเช่นกัน และจะไม่มีผู้ใดเคารพในตัวเจ้าด้วย!
“ในเมื่อพวกเจ้าต่างไม่อยากเข้าร่วมภูอาสน์มู่ ภูเทพกระบี่ของข้าก็ทำได้เพียงเมตตาให้พวกเจ้าสมัครเข้าร่วมแล้วกัน”
ต้วนเฟิงหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูด
ในขณะเดียวกัน แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นก็จ้องมองไปทางจงชิงด้วย
แค่สวะกระจอก ๆ ตัวหนึ่ง เมื่อครู่ก็บังอาจเถียงกูต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ
ประมุขภูอย่างกูมีวิธีการที่สามารถเหยียบย่ำมึง ทำให้มึงทนรับต่อความอัปยศอดสูทั้งปวงหลายวิธีมาก
จงชิงจักไม่ทราบได้อย่างไรว่าต้วนเฟิงกำลังทำให้เขารู้สึกขยะแขยงอยู่ ถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อน ครั้นเขายังไม่มีศักยภาพความสามารถ คงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้
แต่ปัจจุบัน ผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนดาราเสวียนแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องอดกลั้นอีกหรือ?
“เห่าเก่งทั้งวันทั้งคืนเหมือนหมาเลยนะ!”
เมื่อสิ้นเสียงจงชิง สีหน้าของต้วนเฟิงก็หม่นหมองลงไปอย่างสังเกตเห็นได้ชัดเลย
“ไอ้ลูกหมา มึงมันรนหาที่ตาย!”
ต้วนเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น มีจิตสังหารที่มากล้นกระพริบผ่านไปในแววตา
เสี้ยววินาทีถัดไป
เขาก็ระเบิดผลการฝึกตนแดนทิวาเสวียนขั้นสุดยอดออกมา พุ่งตรงไปทางจงชิงโดยตรง พลิกฝ่ามือแล้วโจมตีไปทางจงชิง
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ที่เกิดเหตุก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
หนึ่งคือนึกไม่ถึงเลยว่าสวะไร้ประโยชน์อย่างจงชิงจะกล้าหาญขนาดนี้ ถึงกับกล้าพูดจาเช่นนี้กับต้วนเฟิง
สองคือนึกไม่ถึงเช่นกันว่าต้วนเฟิงจะลงมือโจมตีจงชิงโดยตรง เพราะไม่ว่าอย่างไรตัวตนของเขาก็ค่อนข้างพิเศษเช่นกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าคำบรรยายมาก
การโจมตีในครั้งนี้แทบจะพุ่งไปถึงเหนือศีรษะจงชิงภายในชั่วพริบตาเดียว
จึงส่งผลให้เจ้าสำนักซวนหยวนหงที่อยู่ข้าง ๆ อยากช่วยแต่กลับไม่ทันการแล้ว ทำได้เพียงตะโกนบอกให้ต้วนเฟิงยั้งมือด้วยความลุกลน หวังว่าเสียงตะคอกจะสามารถทำให้ต้วนเฟิงถอนพลังโจมตีกลับไปได้
แต่ต้วนเฟิงกลับมองข้ามคำพูดของซวนหยวนหงโดยสิ้นเชิง แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วโจมตีไปทางจงชิงต่อ
เจ็ดยอดภูเซียนเจียงไม่ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทุกยอดภูล้วนมีความหมายพิเศษของมัน ยิ่งตั้งขึ้นมาเพื่อจัดวางค่ายกลล้ำลึก และขอแค่สร้างถ้ำตรงตำแหน่งของเนตรค่าย การบำเพ็ญเพียรก็จะเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่ว่ายอดภูลูกหนึ่งก็มีเนตรค่ายไม่กี่จุดเท่านั้น เพราะฉะนั้นต้วนเฟิงจึงมีความคิดที่จะฮุบภูอาสน์มู่เข้ามาในภูเทพกระบี่ตั้งนานแล้ว เพื่อให้ศิษย์ทางการบำเพ็ญเพียร
ถึงครานั้นศักยภาพโดยรวมของภูเทพกระบี่ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเยอะมาก ตลอดจนสามารถอยู่เหนือภูเอก
เพราะมีการคงอยู่ของจงชิง ความคิดของเขาจึงไม่เป็นจริงตลอดมา ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะกำจัดจงชิงทิ้งตั้งนานแล้ว
ทว่าอย่างไรเสียตัวตนของจงชิงก็เป็นที่ประจักษ์อยู่ ซึ่งเขาจำเป็นต้องมีเหตุผลในการลงมือโจมตีจงชิง
และตอนนี้เขาก็มีเหตุผลนั่นแล้ว
ผู้แพ้ตัวหนึ่งกล้าพูดจาโอหังต่อเขาที่เป็นประมุขภูเทพกระบี่ เหตุผลจึงเพียงพอแล้ว!
ถึงแม้อนาคตเจ้าสำนักจะถามหาความรับผิดชอบ เขาก็ไม่กลัวอะไรเช่นกัน
บวกกับอดีหน่ายเต้าเหรินตเคยทำให้เขาอับอายขายขี้หน้า ฉะนั้นวันนี้เขาจึงจำเป็นต้องฆ่าจงชิงนี่!
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่นับไม่ถ้วน ในที่สุดพลังฝ่ามือในครั้งนี้ก็เข้าใกล้จงชิงแล้ว
มีทั้งคนที่รู้สึกทอดถอนใจและรู้สึกเสียดาย
แต่จำนวนคนที่มากกว่ากลับรู้สึกว่าจงชิงควรโดน
ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อไปกลับทำให้ผู้คนรู้สึกช็อกมาก
เห็นเพียง ณ เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย จงชิงก็ง้างฝ่ามือขึ้นมาเช่นกัน แล้วซัดหมัดโจมตีไปทางต้วนเฟิง
ภายในชั่วลมหายใจเดียว
หนึ่งฝ่ามือหนึ่งหมัดก็ปะทะเข้าด้วยกัน
ส่งผลให้มีเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมาในกลางอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อเสียงระเบิดที่แสบแก้วหูดังขึ้น ชี่เสวียนทรงพลังที่ยังหลงเหลืออยู่จึงซัดสาดไปทั่วทุกสารทิศ
และเมื่ออยู่ภายใต้การปะทะในครั้งนี้ ต้วนเฟิงที่เป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อนกลับกระเด็นออกไป ขาทั้งสองข้างที่เหยียบอยู่บนพื้นไถลไปด้านหลังจนกลายเป็นร่องลึกที่ยาวเหยียด ถึงจะสามารถทรงตัวได้มั่นคง
เมื่อย้อนกลับไปดูฝั่งจงชิง
ชุดคลุมยาวที่อยู่บนตัวโบกสะบัดเบา ๆ ยืนพลางดึงหมัดกลับไปไขว้ไว้ด้านหลังอย่างสุขุม
ภาพเหตุการณ์นี้
ทำให้ที่เกิดเหตุเงียบเป็นเป่าสาก
เงียบจนได้ยินเสียงเข็มร่วงลงพื้น
ตั้งแต่ศิษย์ผู้คุมถึงประมุขภูเจ้าสำนัก ทุกคนล้วนเบิกตามองดูภาพฉากนี้ด้วยความเหลือเชื่อ
“เขา เขาคือผู้แพ้มิใช่หรือ?”
“เหตุใดเขา……”