บทที่ 2
หลังจากที่เดินออกมาจากเรือนหอแต่งงานแล้ว ฉันก็กลับไปยังบ้านที่คุณแม่หลงเหลือไว้ให้กับฉัน
โดยหลังจากที่หล่อนเสียชีวิตไป ฉันก็อยู่ด้านนอกเป็นส่วนใหญ่ เพราะกลัวว่าจะเสียใจเมื่อพบเห็นและนึกถึงภาพความหลังครั้งเก่า ดังนั้นจึงไม่ค่อยจะได้กลับมา
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและกลิ่นเชื้อรา แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยอย่างมาก เหมือนกับว่าคุณแม่ยังคงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ฉันปรับสภาพจิตใจและอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มลงมือทำความสะอาดบ้าน
ขณะที่ทำความสะอาดบ้านได้ครึ่งหนึ่ง ก็พลันได้รับโทรศัพท์จากตะวัน
“ดาวเหนือ เมื่อครู่ฉันโทรศัพท์ไปที่สถาบันวิจัยของพวกคุณ พวกเขาบอกว่าคุณกลับมาแล้ว? ”
เพราะสถาบันวิจัยของพวกเราอยู่บริเวณตีนเขา สัญญาณไม่ค่อยดีนัก และเวลาส่วนใหญ่ฉันเองก็จะทำการสำรวจอยู่ในภูเขา ไม่ค่อยจะได้ใช้โทรศัพท์สักเท่าไร
อีกทั้งตะวันก็แทบจะไม่ได้โทรศัพท์มาหาฉันด้วย
เมื่อฉันได้ยินเสียงของเขา ก็รู้สึกสะอิดสะเอียน และได้ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “ใช่แล้ว เพิ่งมาถึงบ้าน”
“ทำไมถึงกลับมาอย่างกระทันหันล่ะ? ใช่แล้ว......ตอนนี้คุณอยู่บ้านหลังที่แม่ของคุณหลงเหลือไว้ให้ใช่ไหม? ไม่ได้มาที่บ้านของฉันและเรือนหอแต่งงานของพวกเราสินะ?”
ตะวันเกิดการอาการใจฝ่อ พูดจาติดๆ ขัดๆ ไปหมดแล้ว
ฉันรู้ว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่ แต่น่าเสียดายที่สายเกินไปแล้ว พวกตั๋วเครื่องบินและสัมพันธ์สวาทที่น่ารังเกียจนั้น ฉันต่างก็เห็นกับตาหมดแล้ว
“ฉันอยู่ที่บ้านแม่ของฉันมีธุระอะไรไหม?”
คาดว่าน่าจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเย็นชาเกินไป ตะวันจึงเงียบลงสักครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างรีบเร่งว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งสิบปีแล้ว ฉันอยากที่จะไปพบเจอคุณเดี๋ยวนี้เลย คุณรอฉันก่อนนะ ฉันจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้”
ไม่ทันรอให้ฉันพูด ตะวันก็วางสายโทรศัพท์ลงแล้ว
ยังไม่ทันถึงสิบนาที ก็ได้ยินเสียงมีคนมาเคาะประตูห้อง
ฉันเปิดประตู ก็พบว่าเป็นตะวัน
แต่ฉันก็ไม่ได้มองอะไรเขามาก หันหลังกลับไปตั้งใจทำความสะอาดเหมือนเดิม
แม้ตะวันจะโง่อย่างไรก็คงมองออกถึงการเปลี่ยนแปลงของฉัน เขาก็ยิ่งใจฝ่อหนักขึ้น รีบดึงมือของฉัน และพูดถามด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “ที่รักเป็นอะไรไปเหรอ? คุณไม่คิดถึงฉันบ้างเลยหรือไง? ทำไมถึงได้เย็นชากับฉันแบบนี้? ”
ฉันหัวเราะอย่างเย็นชา และย้อนถามกลับว่า “น้ำฟ้าก็กลับมาแล้วใช่ไหม?”
ตะวันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตาก็ล่องลอยไม่แน่นิ่ง ไม่กล้ามองมาที่ฉัน
“คุณรู้ได้อย่างไร? ใช่......หล่อนกลับมาแล้ว เพราะเขตภูเขานั้นมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยจะดีนัก หล่อนไปเป็นครูอาสาสมัครที่นั่นก็เกือบจะสิบปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา”
“ดาวเหนือ นี่มันตั้งนานแล้วนะ อย่าเอาแต่พูดถึงเรื่องคนอื่นเลย ฉันคิดถึงคุณจะแย่อยู่แล้ว......”
ขณะที่พูด ตะวันก็ดึงตัวฉันเข้ามาในอ้อมอก และเริ่มหอมไปบนใบหน้าของฉัน พร้อมกับใช้มือล้วงเข้าไปในเสื้อผ้า
หากเป็นเมื่อก่อน มิต้องพูดว่าไม่เจอกันสิบปีหรอก แค่ไม่เจอกันสิบวัน ฉันก็คงจะพัวพันกับเขาจนไม่ยอมวางมือหรอก
แต่ในตอนนี้ เมื่อคิดถึงตั๋วเครื่องบินหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าใบ รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่เห็นในเรือนหอ ฉันก็อยากจะอาเจียนออกมาเลย
ฉันออกแรงผลักตัวตะวันออก และดุด่าด้วยความโมโห “ออกไป! อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ! ”
สีหน้าของตะวันยังคงแฝงไปด้วยความหื่นกระหาย พร้อมกับมองมาที่ฉันด้วยความสงสัย
“ดาวเหนือ คุณเป็นอะไรไปเหรอ? ”
ฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ราวกับว่าผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่แฟนคนที่ฉันรักมานานสิบปี แต่เป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของตน!
“นายยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ? น้ำฟ้าไม่สามารถที่จะทำให้นายพึงพอใจได้ใช่ไหม?”
ตะวันแสดงสายตาที่ตกตะลึงขึ้น
“คุณหมายความว่าอย่างไร? อยู่ดีๆ ทำไมถึงต้องเอ่ยถึงน้ำฟ้าด้วยล่ะ? ฉันกับหล่อน......”
ยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์ของตะวันก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้น
หน้าจอโทรศัพท์แสดงชื่อสายเรียกเขาที่คลุมเคลือ
น้ำฟ้าที่รัก
ตะวันมีสีหน้าที่พะอืดพะอม ชะงักหยุดอยู่กับที่โดยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี
ฉันยิ้มเยาะ และพูดเสียดสีขึ้นว่า “ทำไมยังไม่รับสายล่ะ? น้ำฟ้าที่รักของนายรอจนร้อนใจแล้ว”
สีหน้าของตะวันพลันหม่นหมองลงทันที แต่ก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกไปรับสายที่ระเบียง
เพิ่งจะพูดได้ไม่กี่คำ เขาก็รีบหันมาพูดบอกกับฉันว่า “บริษัทมีเรื่องด่วน ฉันขอตัวไปก่อนนะ จะมาหาคุณในภายหลัง”
มองไปยังเงาหลังของเขาที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความรักและคิดถึงอะไรเลย ฉันเองจึงได้แต่แสยะยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง