5.อุบัติเหตุ
EP5:อุบัติเหตุ
ร่างอรชรอ้อนแอ้นรีบวิ่งสุดชีวิตเพื่อที่จะไปเข้าลิฟท์ให้ทัน ถ้าเธอขึ้นลิฟท์ตัวนั้นไม่ทัน มีหวังคาบแรกของวิชานี้เธอสายแน่! โชคดีที่คนด้านในมองเห็นเธอรีบวิ่งมาอย่างรีบร้อน เขาเลยใจดีกดลิฟท์ค้างเอาไว้ให้ เมื่อเข้ามาถึงเอมิกาก็พบเข้ากับผู้ชายรูปร่างดีคนนึงใส่เสื้อช้อปสีแดง เขาคนนี้แหละที่กดลิฟท์ค้างเอาไว้ให้เธอ
“ขอบคุณนะคะ” มีมี่หันไปกล่าวขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“ครับ” ร่างสูงปรายตามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะหันไปยืนมองประตูลิฟท์ตามเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมราคาแพงลอยเข้ามาแตะจมูกของเขาอย่างจัง มันน่าแปลก…ที่เขาไม่ได้รู้สึกเหม็นอย่างทุกครั้งที่เจอคนฉีดน้ำหอม
“ไปชั้นไหนครับ”
“ชั้นสามค่ะ”
มือหนาเอื้อมไปกดให้เพราะเขาอยู่ใกล้ปุ่มมากกว่าเธอ เอมิกาหันมายิ้มเพื่อเป็นการขอบคุณเขาอีกครั้งและใช้เวลาไม่นานลิฟท์ก็เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นสาม ธนามองตามหลังบางไปจนสุดสายตา เนื่องจากเขามีเรียนที่ชั้น 4 ก็เลยได้ลงทีหลังเธอ
“น่ารักจัง” ร่างสูงเอ่ยพึมพัมคนเดียว ผู้หญิงคนเมื่อกี้ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์เพราะความน่ารักของเธอ
สองชั่วโมงต่อมา
“โอ้ยยย….เปิดเทอมก็เจอโปรเจคใหญ่เลยจ้าแม่” ออมสินเอ่ยออกมาน้ำเสียงเครียด เนื่องจากพวกเธอเรียนอยู่ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการโฆษณา ใครจะไปคิดว่าเปิดเทอมปี 2 มาคาบแรก ของวิชานี้อาจารย์ก็สั่งโปรเจคใหญ่ให้นักศึกษาเลย
วิชาที่เรียนมันง่ายก็จริง ไม่มีสอบ มีแต่เนื้อหาในชีทที่อาจารย์สรุปมาให้แล้ว เพื่อให้นักศึกษาเอาไปอ่านเพื่อใช้ประกอบในการถ่ายทำโฆษณาสั้นสิบนาทีมาส่งอาจารย์ก่อนกลางภาค ภายใต้หัวข้อ โฆษณาเพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม ซึ่งไอ้โฆษณาสิบนาทีเนี้ย…คือคะแนนของกลางภาคที่สามารถชี้ชะตาปลายภาคได้ด้วย
“เออนั่นดิอาจารย์โหดชิบเลยว่ะ แถมให้แบ่งกลุ่มละสิบคนอีกต่างหาก งานนี้แม่ง ใหญ่ยักษ์เลยแหละ” กายเพื่อนหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์หัวเสียนิดๆเพราะตอนนี้เขากำลังคิดไม่ออกว่าจะทำโฆษณาไปในแนวทางไหนดี
“บ่นเพื่อ สุดท้ายก็ต้องทำ” เมฆหนุ่มหล่อหน้าตาดีอีกคนเอ่ยขึ้นปรามเพื่อนทั้งสอง ถึงจะบ่นไปอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี
สามคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เมื่อวานเปิดเทอมวันแรก มีมี่ได้พบกับเข้าสาวน้อยอัธยาศัยดีอย่างออมสิน ออมสินก็เลยชวนให้เด็กเทียบโอนอย่างมีมี่ให้มาร่วมกลุ่มด้วยกัน ซึ่งสองหนุ่มก็ไม่คิดจะขัด เพราะพวเขาชอบใจเสียมากกว่าที่ในแก๊งค์ได้มีสาวสวยเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“เฮ้อ…นั่นสินะ งั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปถามเพื่อนในห้องดูว่ามีใครอยากรวมกลุ่มกับเราบ้าง” ออมสินเริ่มปลงแล้ว เธอกำลังทำใจให้ชินกับโปรเจคมหาโหดของอาจารย์
“นั่งเงียบเลยนะเรา คิดอะไรอยู่” เมฆเอ่ยถามมีมี่ที่กำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว
“อ๋อ พอดีเรามีแผนงานจะเสนออะ จริงๆโปรเจคนี้เราเคยคิดจะทำกับเพื่อน แต่เราไม่รู้ว่าพวกเเกจะสนใจไหม” เพราะปีที่แล้ว เธอเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ มีหลายอย่างที่มีมี่อยากทำกับเพื่อนที่อยู่มหาลัยเก่าเเต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะเธอตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพกับพ่อแม่เสียก่อน
“ลองพูดมาสิมีมี่ ฉันเชื่อว่าคนน่ารักอย่างเธอต้องคิดอะไรๆที่มันล้ำๆได้แน่นอน” กายเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเพื่อนสาวคนใหม่ของตนฉลาดไม่ใช่เล่น
“อืม คือเราเคยอยากทำหนังสั้นเกี่ยวกับเด็กบนดอยอะ กิจกรรมหลักๆที่คิดเอาไว้กับเพื่อนตอนนั้นก็จะมีการแจกเสื้อผ้า ทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ แล้วก็พาหมอไปแนะนำความรู้พื้นฐานให้กับชาวบ้าน”
“ถ้าทำแบบนั้นเราว่ามันน่าจะตรงโจทย์ที่อาจารย์อยากได้นะ เเค่เราเปลี่ยนจากหนังสั้น มาตัดต่อแบบโฆษณาแทน ทำฉากและคิดบทให้มันน่าสนใจ”
ทั้งสามนั่งฟังเพื่อนตัวเล็กนิ่ง รู้สึกคล้อยตามคำพูดนั้นอยู่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่เอมิกาเสนอออกมามันน่าสนใจมากๆ จนทุกคนพูดอะไรไม่ออก นี่สิ! แม่พระมาโปรดกลุ่มเราแล้ว
“เงียบกันทำไมอ่าา ความคิดเรามันไม่โอเคใช่ไหม” เมื่อเห็นเพื่อนเงียบ มีมี่จึงรู้สึกกังวลในสิ่งที่ตัวเองเสนอไป
“ไม่! มันดีสุดๆไปเลยมีมี่! โอ้ยย…เธอคิดอะไรที่มันบรรเจิดแบบนี้ได้ไงอะ” ออมสินตบโต๊ะเสียงดัง เธอคิดไม่ผิดจริงๆที่สามารถดึงมีมี่ให้มาอยู่กลุ่มเดียวกับตัวเองได้
“ใช่ เราเห็นด้วยนะ เราชอบไอเดียนี้” เมฆเอ่ยเสริม เขารู้สึกชอบจริงๆ ไม่ได้อวยเพื่อนตัวเล็กแต่อย่างใด
“ฉันก็ชอบ…แต่เราจะไปหาหมอที่ไหนมาช่วยล่ะ ปกติคนเป็นหมอเขาไม่ค่อยว่างกันไม่ใช่เหรอ”กายตอบกลับ เขาเห็นอาที่เป็นหมอแทบไม่เคยมีเวลาหยุดพักเลย
“เรื่องนั้นเดี๋ยวเราจะลองหาทางดูนะ” มีมี่ยิ้มให้เพื่อน ตอนนี้หมอเดียวที่เธอนึกถึงก็คือ….คู่หมั้นสุดหล่อของเธอนั่นเอง
ถ้าไปขอให้ช่วย…เขาจะยอมช่วยไหมนะ
“โอเค งั้นเราเริ่มทำกันเลยดีไหม มีเวลาไม่ถึงสองเดือนในการเตรียมทุกอย่าง ยิ่งออกกองเสร็จเร็วยิ่งดี เราจะได้มีเวลาตัดต่อและแก้งานมากขึ้น” ออมสินเอ่ยออกมาอย่างมีเหตุผล เนื่องจากระยะเวลาที่มีก็ไม่ได้มาก พวกเธอจึงต้องรีบวางเเผนให้ดีที่สุด
“งั้นอย่างแรกเราไปหาอีก 6 คนมารวมกลุ่มให้ได้ก่อน แล้วค่อยเรียกทุกคนมาประชุมดีไหม” เมฆเสนอ
“โอเค เอาแบบนั้นก่อน”
ทั้งสี่คนพยักหน้าให้กันอย่างเห็นด้วยกับแผนในครั้งนี้ หลังจากนั้นทุกคนก็พากันไปเดินเล่นที่หาง P เพื่อรอเรียนวิชาถัดไปในอีก 1 ชั่วโมง
หลายวันต่อมา
มาร์โคเริ่มชินกับการที่ร่างบางทำข้าวกล่องมาส่งให้เขาทุกวัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมทานอยู่ดี คนที่ต้องลำบากใจรับอาหารนั้นไปกินทุกวันก็คือรดา จนถึงวันนี้ พยาบาลสาวก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมมาร์โคถึงไม่ยอมทานอาหารที่เอมิกาทำมาให้
“อะ วันนี้สเต็กปลา” รดาเดินเอาข้าวกล่องมาวางไว้บนเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่นุ่มนิ่มกับปลานั่งอยู่ เวลาที่ไม่มีคนไข้ทั้งสามชอบรวมตัวกันเม้าท์เป็นประจำ ซึ่งทุกวันนุ่มนิ่มกับปลาก็มักจะได้ช่วยรดาจัดการกับข้าวกล่องแสนอร่อยของ ผอ อยู่เสมอ
“ผอ นี่ยังไงนะ คู่หมั้นอุส่าห์ทำอาหารมาส่งถึงที่ทุกวันแต่ไม่ยอมกินเลยส้ากกวัน” ปลาลากเสียงยาว ถึงจะสงสัยมากแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปอยู่ดี
นิชากรที่เดินมาอีกฟากหนึ่งได้ยินเข้า หมอสาวหยุดชะงักเมื่อได้ยินพยาบาลพูดถึงมาร์โค เธอจึงหยุดเดินเพราะอยากฟังต่อว่าทั้งสามกำลังจะคุยอะไรกัน
“นั่นดิ ถ้าฉันเป็นคู่หมั้น ผอ คงถอนหมั้นไปนานละ คนอะไรใจร้ายชะมัด ใจเเข็งด้วยเหมือนหิน” นุ่มนิ่มเอ่ยสมทบ เธอรู้สึกสงสารคู่หมั้นของ ผอ จับใจ ได้ข่าวจากรดาว่าเป็นเด็กมหาลัยอยู่เลยด้วย ไม่รู้ว่าโชคร้ายมาหมั้นกับมาร์โคได้ยังไง
“นั่นดิ รดาเธอบอกว่าน้องเขายังเด็กอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าโดนบังคับให้หมั้นนะ” ปลาเอ่ยสมทบก่อนจะหันมาถามรดา
“เห้อ…ฉันก็ไม่รู้อะ” คนที่หนักใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นรดานี่แหละ จะถามก็ไม่กล้าถาม จะบอกก็ไม่กล้าบอก เธอเลือกอะไรไม่ได้สักทาง
นิชากรที่ยืนแอบฟังอยู่ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาเหมือนกัน คนที่รักใครไม่เป็นอย่างมาร์โคน่ะหรือจะมีคู่หมั้น เว้นเสียแต่ว่าเขาโดนบังคับ คิดได้ดังนั้นนิชากรก็เริ่มให้ความหวังกับตัวเองอีกครั้ง หากในอนาคตเขาได้ถอนหมั้นเร็วๆก็คงจะดี
ตกเย็น
ตรวจคนไข้รายสุดท้ายของวันนี้เสร็จมาร์โคก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆสายเรียกเข้าจากมารดาก็ดังขึ้นมาบนโทรศัพท์สีดำสุดหรู หมอหนุ่มกดรับสายทันทีที่เห็น หากเขาเดาไม่ผิดแม่คงโทรตามให้กลับไปทานข้าวที่บ้านแน่ๆ
“ฮัลโหลครับแม่”
‘ตามารค์ลูก ยุ่งอยู่หรือเปล่า’ มาเรียมเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงติดร้อนใจนิดๆ ทำเอาหนุ่มใหญ่เริ่มสงสัยว่าแม่เขาอาจจะไม่ได้โทรตามให้กลับไปทานข้าวอย่างที่ตัวเองคิด
“ว่างครับ ผมกำลังจะออกเวร”
‘ลูกแวะไปดูน้องหน่อยสิ เมื่อกี้อัญโทรมาหาแม่ บอกว่าหนูมีมี่เจอรถเฉี่ยว ตอนนี้กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลของเราพอดี ตอนนี้พ่อกับแม่ของน้องไม่ได้อยู่บ้านน่ะลูก มาร์คช่วยไปส่งน้องที่บ้านหน่อยได้ไหมจ๊ะ’
ในเมื่อมารดาพูดออกมาแบบนี้ เขาเองก็คงจะขัดอะไรไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันเป็นเหตุฉุกเฉิน หากเขาจะปฎิเสธมันก็คงดูใจร้ายกับลูกสาวของเพื่อนสนิทแม่จนเกินไป แถมเขายังบอกไปแล้วว่าว่าง เพราะงั้น…เขาก็คงต้องไปส่งเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
“ครับแม่”
‘จ๊ะ ฝากน้องด้วยน๊ะจ๊ะ’ เมื่อได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ มาเรียมก็วางสายไปอย่างอารมณ์ดี
@ห้องฉุกเฉิน
ท่ามกลางความวุ่นวายของพยาบาลกับคนไข้นับสิบคน มาร์โคเดินตรงดิ่งเข้ามาหาร่างบางที่คุ้นตาทันที ตอนนี้มีพยาบาลกำลังช่วยดูอาการของเอมิกาอยู่แล้ว พอเห็นว่าหมอมาร์คเดินเข้ามา เธอก็ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี
“หมอออกเวรแล้วไม่ใช่เหรอคะ” พยาบาลสาวประจำห้องฉุกเฉินเอ่ยถาม
“ไปดูคนอื่นเถอะ เคสนี้เดี๋ยวผมดูเอง” เขาหันไปสั่งโดยไม่ได้ตอบคำถาม
“ค่ะ” เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้างุนงง แต่จะงงนานก็ไม่ได้ เพราะมีเคสอื่นต้องไปดูต่อ
เอมิกามองใบหน้าคมเข้มของคู่หมั้นหนุ่มด้วยหัวใจสั่นไหว พอได้มาเห็นเขาในมุมของการทำงานแบบนี้ เธอยิ่งหลงรักเขาเข้าไปใหญ่ แถมเมื่อกี้เธอก็ได้ยินเต็มสองหูว่าเขาออกเวรไปแล้ว แต่ยังใจดีกลับมาดูเธอให้
“เป็นอะไรมา” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ ในขณะที่กำลังก้มมองข้อเท้าที่บวมแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดของอีกคน
“เอ่อ…คือมี่กำลังจะข้ามถนน แล้วมีรถจากไหนไม่รู้ขับมาค่ะ มี่เห็นพอดีก็เลยจะวิ่งหลบแต่ดันสะดุดขาตัวเองล้ม ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ แหะๆ”
มาร์โคแอบส่ายหน้าเบาๆ ตอนแรกเขาก็นึกว่าเธอโดนรถเฉี่ยวจริงๆ แต่สรุปแค่เกือบโดนรถเฉี่ยวเท่านั้นก็เลยขาแพลง ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว หากเอมิกาเป็นอะไรมากถึงขั้นได้นอนโรงบาล คงไม่พ้นเขาที่ต้องตามคอยดูแลเธอตามคำสั่งของเเม่แน่ๆ
“อ๊ะ…จะ..เจ็บค่ะ” เอมิกาตั้งหลักไม่ทัน เมื่อจู่ๆนิ้วหนาของเขาที่สวมถุงมืออยู่ก็กดลงมาบนข้อเท้าที่บวมของเธอเบาๆ ถึงมันจะเบาแต่มันก็เจ็บอยู่นิดๆ
“เจ็บมากไหม”
“มะ…ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ค่ะ”
“อืม…โชคดีที่ไม่มีอะไรหัก แค่ข้อเท้าอักเสบ เดี๋ยวจะเอาผ้าพันแผลให้ ช่วงนี้เดินเบาๆไปก่อน ถ้าจะให้ดีก็นอนพัก อย่าเดินเยอะ ไม่เกินอาทิตย์ก็หาย”
“^-^” เอมิกาเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟังเขาพูดยาวๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทำไปตามหน้าที่ก็เถอะ
“เดี๋ยวจะสั่งยานวดกับยาแก้อักเสบให้ด้วย”
“ขอบคุณค่ะ ~”