๒ เรียนรู้การเป็นผู้จัดการชั่วคราว (๒)
ที่สนิทกันจริงก็มีแต่เพื่อนนอกวงการ คบกันมานานตั้งแต่เรียนประถมมัธยม อย่าพงพนา ชานนท์และสพล ซึ่งคนหลังเจอกันบ่อยที่ผับเพราะสพลเป็นเจ้าของกิจการ วันไหนที่นับอนันต์ไปสาวจะเยอะกว่าปกติ ไม่รู้ทราบกันได้อย่างไรว่าเขาจะไป
ดวงตากลมมองไปรอบห้องขนาดใหญ่ เฟอร์นิเจอร์จะเป็นแบบบิวอินต์ซะส่วนมาก ไม่เน้นของประดับตกแต่งจะมีก็แต่ตู้โชว์รางวัลที่ชายหนุ่มได้รับ เรียงไว้เป็นระเบียบพอนับดูแล้วมีทั้งหมดเกือบยี่สิบถ้วย ไม่อยากเชื่อว่าระยะเวลาแค่นี้ แต่เขาจะได้รับรางวัลการันตีความสามารถมากมาย
เป็นที่รักของคนทั้งประเทศจริงๆ
หญิงสาวแอบสำรวจห้องของเขา ขนาดห้องไม่ได้ใหญ่มากแต่แบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจน ด้านหน้าเป็นตู้วางรองเท้า ถัดมาเป็นโซนครัวและมีมุมพักผ่อน ตรงโถงกลางซึ่งหล่อนกำลังนั่งอยู่ขณะนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับรับแขก โซฟาตัวยาววางเป็นตัวยู มีโต๊ะกระจกขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง
มองประตูซ้ายขวาคาดว่าเป็นห้องนอนของเขา ส่วนอีกห้องก็ไม่ทราบเหมือนกัน อาจเป็นห้องเก็บของหรือห้องนอนเล็กก็ได้
“พี่มณสอนงานแล้วใช่ไหม” ออกมาด้วยชุดเสื้อยืดสีเบจกับกางเกงยีนส์เข้ารูป เขาแต่งตัวสบายเพราะวันนี้มีแค่ถ่ายละครอย่างเดียว ไม่ต้องไปธุระที่ไหนอีก
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้ผมมีงานอะไรบ้าง” ชายหนุ่มไม่ค่อยจำตารางงานของตัวเอง ส่วนมากจะรู้แค่วันถ่ายละครหรือโฆษณา เพราะจะต้องเตรียมใจไว้ก่อนว่าอุทิศทั้งวันอย่างแน่นอน
“พรุ่ง พรุ่งนี้..” เริ่มตะกุกตะกักเพราะเธอไม่ได้ท่องตารางงานของวันพรุ่งนี้ รีบหยิบสมุดในกระเป๋ามาเพื่อเปิดดูทันทีทำให้เขาหันมามองพลางขมวดคิ้วไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่
ปกติถ้าถามภิรมณก็ได้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย อีกฝ่ายจำตารางงานของเขาได้เสมอไม่เคยปล่อยให้ต้องคอย ทว่าคนมาใหม่ดูเหมือนจะไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะพงพนาเป็นคนหามาเขาก็คงไม่รับ
ร่างหนาหยิบอาหารเช้าออกมารับประทาน ความเงียบยิ่งทำให้หล่อนกดดันมากกว่าเดิมจนเปิดหน้าตารางงานผิด
“ถ้ามันหายากมากขนาดนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ค่อยบอกตอนเย็นก็ได้” ไม่ใช่คำกล่าวแบบอะลุ้มอล่วย หล่อนรู้ดีเขากำลังประชดต่างหาก ดวงหน้าคมก้มมองแซนวิชแล้วกัดคำโตจนเธอต้องรีบก้มมองงานพรุ่งนี้
“คุณนับมีถ่ายแบบเช้าถึงบ่ายสองค่ะ แล้วก็มีอีเว้นตอนสองทุ่ม ต้องไปซ้อมเวลาสี่โมงเย็นที่ห้าง..ค่ะ” บอกชื่อห้างสรรพสินค้าพลางพรูลมหายใจเสียงเบา พูดยาวแทบไม่หยุดหายใจกลัวว่าถ้าช้าจะถูกสายตาเชือดเฉือนจากร่างสูงเอาไว้
เผลอเม้มปากแน่นยามมองคนที่กำลังอาหารเช้าและดื่มกาแฟดำอึกใหญ่ จนหล่อนต้องหรี่ตาพลางนึกในใจว่าเขาไม่ขมเหรอ สำหรับเธอแค่ลองใช้ลิ้นแตะก็ไม่ไหวจะรับประทาน จนต้องดื่มน้ำเปล่าตามหลายอึกแล้ว
“โอเค” เขากินหมดในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนเดินเข้าห้องอีกครั้ง พอออกมาก็ถือถุงผ้าขนาดกลางและเริ่มปิดไฟรอบห้อง
“ไปกัน”
พอเขาพูดเช่นนั้นก็รีบลุกแล้วเดินตามร่างสูงทันที โถงทางเดินทอดยาวมีเพียงพวกเขาสองคน หญิงสาวพยายามก้าวเท้าให้ทันนับอนันต์เพราะขนาดความยาวของช่วงขาค่อนข้างต่าง ไม่รู้ตอนเด็กดื่มนมไปเยอะแค่ไหนถึงได้สูงชะลูดขนาดนี้
“โอ๊ะ” เขาหยุดเดินเมื่อไหร่หล่อนไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีหน้าผากก็ชนแผ่นหลังหนาเสียแล้ว
“ระวังหน่อย” เสียงเข้มติดดุ เธอจึงรับคำในลำคอ อึดอัดมากกว่าเดิมเสียอีก
แค่เข้ากับคนทั่วไปก็ยากอยู่แล้ว นี่เธอมาเจอนับอนันต์อีก ต่อจากนี้จะไม่เชื่อข่าวที่บอกชายหนุ่มเป็นคนเข้าถึงง่ายแล้ว จากที่วิเคราะห์มาทั้งหมดเขาโลกส่วนตัวสูง และเข้ากับคนอื่นได้ยากพอสมควร
เมื่ออยู่ในลิฟต์กันสองคนก็เงียบจนน่าอึดอัด เธอยืนอยู่อีกฝั่งเขาก็ยืนอยู่อีกฝั่ง ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ จะให้ชวนคุยก็ไม่กล้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
คิดผิดจริงๆ ที่ตกปากรับคำพงพนา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่แพ้สายตาลูกอ้อนคู่นั้นเด็ดขาด ถ้ามันจะทำให้เธอลำบากจนคิดไม่ตกตลอดเวลา
“ชื่อนางใช่ไหม” หันมาถามจนคนที่เผลอยืนพักขาต้องทำตัวตรงดิ่ง กระชับกระเป๋าสะพายแน่นแล้วพยักหน้ารวดเร็ว
“ใช่ค่ะ” ดาราหนุ่มแอบขำกับท่าทีของเธอจนเผลอยิ้มมุมปาก ไม่คิดว่าตัวเองจะน่ากลัวจนทำให้อีกฝ่ายเกร็งขนาดนี้ หน้าเขาไม่เหมือนยักษ์มารสักหน่อย
“ระหว่างนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ หวังว่าเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับผมมันจะไม่แพร่งพรายออกไป” นั่นคือคำเตือนหรือเปล่า แต่หล่อนก็รีบรับคำไม่เคยคิดจะพูดเรื่องของชายหนุ่มในทางไม่ดีออกสื่อ
ถึงนับอนันต์จะเป็นคนนิ่งเงียบ ต่างจากที่คิดอยู่บ้างทว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร เป็นคนที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ
“ค่ะ นางจะไม่เอาเรื่องคุณนับออกไปพูดแน่นอน” ติดเรียกชื่อตัวเองจึงเผลอใช้กับเขา ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงพยักหน้า พอดีกับลิฟต์เปิดเขาจึงเดินออกไปหน้าคอนโดมิเนียมเพื่อขึ้นรถส่วนตัว
ทำงานไม่นานก็มีเงินเป็นกอบเป็นกำ งานวงการบันเทิงแค่มีชื่อเสียงทุกอย่างก็มากองตรงหน้า จำได้ว่าตอนที่ยังไม่ดังถูกปฏิบัติอีกอย่าง พอเริ่มมีชื่อเสียงทุกคนก็พูดถึงและทำกับเขาราวพระเจ้า มันจึงไม่แปลกที่นับอนันต์จะเขวไปพักใหญ่ เผลอแสดงกิริยาไม่น่ารักจนได้ภิรมณคอยบอกเตือน
เขาจึงต้องย้ำตนเองตลอดเวลาว่าเป็นใครและกำลังทำอะไรอยู่ อย่าหลงระเริงไปกับการที่มีคนพินอบพิเทา หรือแสงสีและคนที่เข้าข้างตลอดเวลา
มันคือกลลวงให้ตนกลายเป็นอีกคน...
“คุณอ่านหนังสือบนรถได้ไหม” รถเคลื่อนตัวออกจากหน้าตึกสูง เขานั่งเบาะด้านในโดยมีผู้ช่วยอย่างชินานางนั่งขนาบข้างอยู่เบาะติดประตู
จากที่กำลังเผลอมองวิวยามเช้าก็สะดุ้ง รีบหันมามองเขา “ได้ค่ะ” เธออ่านหนังสือบนรถจนชิน ไม่มีอาการเวียนหัวแต่อย่างใด
“ช่วยผมต่อบทหน่อย” ยื่นบทไปให้เธอ
ทำให้หญิงสาวยิ้มแก้มปริเพราะแต่เดิมก็ชอบตัวนิยายของละครเรื่องนี้ พอมาปรับเป็นบทโทรทัศน์จึงอยากรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน
รับบทมาถือเอาไว้พลางเม้มปากแน่นไม่ให้เผลอยิ้ม เธอเห็นเขาขีดปากกาเน้นคำไว้ที่บทพูดของตัวเอง พร้อมเขียนกำกับอธิบายอารมณ์ว่าตัวละครรู้สึกเช่นไรเพื่อให้ง่ายต่อการเล่น
‘ปานชีวา’ ชื่อเรื่องตั้งจากชื่อของนางเอก ทั้งยังหมายรวมถึงเธอเปรียบเสมือนชีวิตของเขา ละครรักโรแมนติกที่แค่ประกาศชื่อนักแสดงก็เป็นที่จับตามองไปทั้งวงการ เพราะได้คู่ขวัญกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง
เรื่องแรกที่นับอนันต์เล่นเป็นพระรองแต่กลับเรียกความสนใจยิ่งกว่าพระเอก ทำให้เรื่องต่อมาได้ขึ้นแท่นพระเอกคู่กับหนึ่งวารี หรือน้องวาดกลายเป็นคู่จิ้นนับวาดที่ทุกคนลุ้นให้รักกันนอกจอ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อฝ่ายชายประกาศกำลังคบกับนางแบบสาว
เพลินพลิน เดชศรีชัยซึ่งคบกันมาได้สองปี แต่ช่วงหลังเริ่มระหองระแหงต่างฝ่ายไม่มีเวลาให้กัน หล่อนงานเดินแบบชุกต้องไปต่างประเทศบ่อย ส่วนเขาก็ไม่ต่างเพราะถ่ายละครปีละสองเรื่อง ไหนจะงานโฆษณาและอีเว้นท์อีก แทบไม่ได้หยุดพักด้วยซ้ำ
“ขอโทษด้วยค่ะ เธอบุกเข้ามาตอนเผลอดิฉันห้ามไม่ทัน” อ่านบทอย่างคล่องแคล่ว แล้วเงยหน้าเพื่อรอดาราหนุ่มตอบกลับ
“ถ้าจะมาขายของผมไม่ซื้อหรอกนะ ดูแล้วของที่ว่าน่าจะค่อนข้างถูก” พระเอกปากจัดไม่ต่างจากคนรับบทเลย คิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป
หล่อนหรือจะกล้าว่าเขาแค่มองตาก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว แววตาคมเหมือนจะเชือดเฉือนกันอยู่ทุกเวลา
“ค่ะ ฉันมาขาย..ตัว ฉันต้องการแต่งงานกับคุณ” อึ้งกับบทแต่ก็ไม่แปลกใจเพราะเธอเคยอ่านฉบับนิยาย ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ ปานชีวาต้องการแต่งงานกับเขาเพื่อยกระดับฐานะของตนเอง อยากครอบครองบริษัทของมารดาที่ตกเป็นของสามีใหม่ จึงต้องการให้เขามาเทคโอเวอร์
“เหตุผลที่ฉันต้องแต่งงานกับเธอล่ะ เธอมีประโยชน์อะไรให้ฉันใช้หรือเปล่า” หล่อนเริ่มอยากเห็นตอนที่เขาเล่นเสียแล้ว คาดว่าคงได้ด่าพระเอกในใจเป็นแน่
“อาจเพราะ..ฉันกำลังตกหลุมรัก..คุณ” แค่ประโยคธรรมดาแต่เพราะคนตรงหน้าเป็นนับอนันต์หรือเปล่าทำให้หล่อนใจสั่นแปลกๆ ยิ่งเขามองมาที่เธอทำให้เหมือนตนเองกลายเป็นปานชีวา
ทำเอาเสียงสั่นอัตโนมัติ...
“ทำไมพูดตะกุกตะกัก” คิ้วขมวดเมื่อคิดว่าเขาตีความความรู้สึกของปานชีวาผิดหรือเปล่า กำลังจะขอบทมาดูแต่ชินานางก็จับไว้แน่น
“คะ คอแห้งค่ะ คอแห้ง อะแฮ่ม” แสร้งกระแอมเพื่อกลบเกลื่อน เธออ่านบทต่อจนจบโดยไม่กล้ามองหน้าเขาเลย
รู้แล้วว่าทำไมนับอนันต์ถึงมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ ใครจะต้านทานใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไหว ขนาดเธอที่เจอชายหนุ่มยังหลงเลย
แต่มันไม่ใช่ความรัก รักแรกและรักปัจจุบันของเธอก็ยังเป็นพงพนาเช่นเดิม...
“นี่ผู้ช่วยคนใหม่ของนายเหรอ สวัสดีค่ะ หนึ่งนะคะ” มาถึงกองถ่ายละครซึ่งเป็นตึกสูงบริษัทของพระเอก ส่วนมากเป็นฉากอารมณ์ฟาดฟันด้วยวาจา เป็นงานถนัดของคนทั้งคู่อยู่แล้ว
มาถึงหล่อนก็ถือกระเป๋าของเขาแล้วตามเข้ามา ด้านในบรรจุด้วยบทละครและถุงใส่เครื่องสำอาง นับอนันต์ไม่ต้องการใช้ของร่วมกับใคร ใบหน้าเขาค่อนข้างแพ้ง่าย ทาอะไรนิดหน่อยที่ผิดแปลกก็เป็นสิว ซึ่งยากต่อการทำงานที่ต้องใช้หน้าตา
“สวัสดีค่ะ นางค่ะ” เจอตัวจริงของหนึ่งวารี สวยกว่าภาพถ่ายเสียอีก ตัวเล็กจนกลัวว่าจะปลิวตามลมทั้งที่ในจอโทรทัศน์มีน้ำมีนวลมากกว่านี้
“น่ารักจังเลย น่าจะมาเล่นละครมากกว่าเป็นผู้ช่วยนะคะ” คำพูดชมจากใจไม่ได้เสแสร้ง ถึงหญิงสาวยังไม่แต่งหน้าและเลือกแต่งตัวธรรดมา แต่ความโดดเด่นบนใบหน้าก็ไม่ได้ด้อย
ถ้าไม่ได้เป็นนางเอก ก็ต้องเป็นนางรองอย่างแน่นอน
“เป็นผู้ช่วยดีกว่าค่ะ นางไม่ถนัดเล่นละคร” ปฏิเสธเสียงเรียบแล้วตามนับอนันต์ที่เดินไปนั่งเก้าอี้พร้อมสำหรับแต่งหน้า
ร่างสูงไม่ค่อยเสวนากับใคร เลือกจะนั่งนิ่งอ่านบทหรือเล่นโทรศัพท์มากกว่า หลายคนมองว่าหยิ่งแต่ความจริงเขาพยายามในการสนทนาแล้ว ทว่าหลายครั้งก็ลงท้ายด้วยความเงียบเพราะเรื่องที่ชอบคุยคือเศรษฐกิจ ซึ่งเพื่อนในวงการไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ก่อนมาเล่นละครเขาเรียนปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ จบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองทั้งที่เคยคิดอยากคว้าอันดับหนึ่ง ช่วงปีสามเขาเริ่มเข้าวงการบันเทิงจึงไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ พยายามทุ่มเวลาว่างอ่านหนังสือจนจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูง
“คุณนับจะเอาอะไรไหมคะ” หยิบบทและเครื่องสำอางมาวางไว้หน้ากระจกให้เขา
“ไม่ต้อง” พยักหน้าแล้วค่อยหลีกไปนั่งเก้าอี้เล็กอยู่มุมห้อง กลัวว่าตนจะเกะกะคนอื่น เพราะห้องนี้เดินวุ่นจนเวียนหัว
ดาราหลายคนเริ่มทยอยเข้ามาในห้องแต่งหน้า เพราะเป็นฉากออฟฟิศคนเลยเยอะหน่อย ละครมีคอมเมดี้ด้วยจึงไม่แปลกที่จะเห็นนักแสดงตลกหลายคนปล่อยมุกกระจาย หล่อนเองก็เผลอขำไปด้วย
“นาง มาช่วยต่อบทอีกหน่อย” เรียกผู้ช่วยส่วนตัวจนหล่อนรีบลุกจากเก้าอี้ ทว่าต้องนิ่งชะงักเมื่อหนึ่งวารีเข้ามาหาเขาหลังแต่งหน้าเรียบร้อย
“นายมาต่อบทกับฉันก็ได้ เราต้องเล่นด้วยกันลืมหรือไง” ตีไหล่หนาจนเขาหันมามอง
“เธอต้องไปเปลี่ยนชุดไม่ใช่เหรอ ค่อยมาต่อบทหน้าฉากก็ได้” ลืมไปชั่วขณะว่าตนยังไม่ได้เปลี่ยนชุด หนึ่งวารีจึงรีบเข้าไปเปลี่ยนชุดเพราะพวกเขามีถ่ายทั้งวัน
เมื่อจองสถานที่ถ่ายทำได้ก็ต้องเล่นหลายซีนหน่อย การถ่ายละครไม่ได้ถ่ายตามฉากทำให้ต้องอ่านบทมาอย่างดีเพื่อทำอารมณ์เข้าฉาก ตอนเช้าโมโห ตอนบ่ายหวาน ส่วนตอนค่ำดราม่า อารมณ์ไม่ซ้ำกันจนต้องทำสมาธิให้ดี
เรื่องนี้ถ่ายมาหลายคิวเหลืออีกไม่นานก็ใกล้จะปิดกล้อง มีกำหนดฉายปีหน้าแต่อาจจะมาก่อนกำหนดเพราะหลายคนเรียกร้องเหลือเกิน แค่ปล่อยตัวอย่างยอดคนเข้าชมก็ล้านแตกภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ต้องต่อบทไหมคะ” มายืนข้างเขานานแล้วแต่ไม่เห็นชายหนุ่มจะพูดอะไร เขากำลังพิมพ์บางอย่างในโทรศัพท์ จนต้องถาม
“ไม่ต้องแล้ว” ไม่ได้เงยหน้ามองด้วยซ้ำ ทำให้หล่อนต้องถอยร่นไปนั่งที่เดิม
เมื่อแต่งหน้าเสร็จร่างหนาก็เดินออกจากห้องนี้ ผู้ช่วยเห็นก็ต้องรีบตามจนขาแทบขวิด หล่อนเห็นเขาเดินไปยังริมหน้าต่างแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุย
“ทำไมไม่ว่างอีกแล้ว กว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมันไม่ง่ายเลยนะ ก็เธอบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเสาร์นี้ไม่มีคิว” เท้าเรียวชะงักเมื่อเห็นว่าใบหน้าคมเคร่งขรึมกว่าปกติ เหมือนอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ควรเข้าไปใกล้
“เราไม่ได้เจอกันสามเดือนแล้วนะเพลิน แบบนี้จะมีแฟนไปทำไมวะถ้าได้แค่ส่งข้อความ” อาจเพราะรอบข้างค่อนข้างเงียบ และไม่มีใครเดินผ่านเขาจึงเสียงดังกว่าปกติ ชินานางจึงได้ยินทุกประโยคชัดเจน
ดูเหมือนว่านักแสดงหนุ่มจะทะเลาะกับแฟน...
“ไม่ได้ชวนทะเลาะ เฮ้อ ช่างมันเถอะคุยตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาเราจะได้รับงานอื่น” หญิงสาวกำลังจะกลับเข้าไปในห้องแต่ชายหนุ่มวางสายแล้วหันมามองเธอจนไม่สามารถหลบได้ทัน
ดวงตาคมดุไม่ค่อยชอบใจที่ถูกแอบฟัง “มีอะไรหรือเปล่า” เสียงเข้มจนเธอไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอย่างไร
“นับ..ไปเปลี่ยนชุดสิ” ดีที่หนึ่งวารีเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา นางเอกคนดังมาเรียกคู่จิ้นเขาจึงเลิกสนใจเธอแล้วเดินเข้าห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด
เกือบไปแล้วไหมล่ะ อยากรู้ไม่เข้าเรื่อง