ตอน 5
“นิดหน่อยฟาดไปสิบแก้วนี่นะ นิดหน่อยอะไรกัน แล้วนี่ดีขึ้นมั้ย อาให้เจี๊ยบชงน้ำขิงแก่มาให้ดื่มแก้แฮงค์” คนเป็นอาเอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำขิงที่ส่งกลิ่นตลบมาตรงหน้าหลานสาว
“อ๋าย...อาเดียวก็รู้นี่คะอั้มไม่ชอบขิง ไม่ว่าขิงดอง ขิงอ่อน ขิงแก่ น้ำขิง ผัดขิง อั้มก็ไม่ขอบค่ะ” อัมพิกาเบือนหน้าหนีจากเครื่องดื่มกลิ่นฉุน หนำซ้ำรสชาติยังไม่ได้เรื่องอีกด้วย
“ไม่ชอบก็ต้องดื่ม กลั้นใจดื่ม จะได้หายแฮงค์ อย่าดื้อ”
“อาเดียวขา อย่าบังคับน้องอั้มสิคะ เห็นใจน้องอั้มนะคะ น้องอั้มไม่ดื่ม”
“มานี่ค่ะอาจะป้อน”
“รู้มั้ยคะอาเดียว อั้มชอบมากๆ ที่อาเดียวพูดคะ ขา กับอั้ม แต่จะไม่ชอบก็ตอนบังคับให้อั้มดื่มน้ำขิงนี่ล่ะค่ะ”
“ไม่ชอบก็ช่วยไม่ได้ เราริดื่มเองนี่ ยังปวดหัวอยู่ไม่ใช่เหรอ เร็วเข้ากลั้นใจดื่มเดี๋ยวอาป้อน”
ฝ่ายหลานไม่ยอมท่าเดียว พยายามจะกระโดดลงจากเตียง แต่อาการวิงเวียนในหัวไม่อำนวยให้เธอได้ทำแบบนั้น จึงโดนอาเดียวจับล็อกคอแล้วบังคับให้ดื่ม อัมพิกาจำใจดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ลงคออย่างยากเย็น ระหว่างอาหลานป้อนน้ำขิงกันอยู่นั้นเอง ภาพที่คนอื่นเห็นจึงคล้ายกับว่าสองคนกำลังจูบกันอยู่บนเตียง ด้วยร่างดรัณบังอัมพิกาจนมิด ใบหน้าชายหนุ่มอยู่ในท่าที่โน้มไปหาหญิงสาวอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“อุ้ย !!!” เจี๊ยบเดินเข้ามาเห็นพอดี ถึงกลับอุทานเสียงเบา พร้อมกับยกมือปิดปาก แล้วย่องหนีหายไปจากหน้าประตู ด้วยอาการตะลึงพร้อมกับความคิดไปเองติดสมองไปด้วย
สุดท้ายน้ำขิงเฝื่อนๆ ที่อัมพิกาเกลียดนักเกลียดหนา จึงหมดในเวลาต่อมา เพราะระหว่างที่ถูกล็อกคอป้อน จึงเผลอจ้องมองดวงหน้าหล่อคมคาย ที่มากเสน่ห์ขึ้นตามกาลเวลา หัวใจหลานกระตุกทุกครั้งที่มอง แล้วตอนนี้ไม่ใช่แค่กระตุก หากแต่สั่นไหวร่านระริกคิดไปไกลอยู่ภายใน ครั้นเมื่อน้ำขิงหมดถ้วย หญิงสาวจำต้องเบือนหน้าหนีจากความหล่อ เมื่อโดนจ้องมองกลับ อาเดียวอายุสี่สิบเอ็ดก็จริง หากว่าดวงหน้าคมสันหล่อเหลาช่างอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าหนุ่มน้อยซะอีก
“เอ่อ...อาเดียวคะ”
“ว่าไงคะ”
“น้องอั้มอยากไปทำบุญที่วัดให้กับพ่อแม่ค่ะ”
“เอ้าไปสิ ไม่เห็นมีปัญหาเลย” ดรัณสลัดความรู้สึกหวิวคล้ายมีไฟฟ้าช๊อตทั่วกาย เมื่อตอนที่จ้องตากับอัมพิกา แต่เมื่อหลานดีดตัวไปยืนตรงหน้าต่าง และได้ยินที่หลานสาวบอกว่าจะไปทำบุญที่วัด เขาจึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริง คือสวมบทอาหลานให้แนบเนียนที่สุด แม้ว่าจิตใจไม่ใช่ก็ตาม เออ...เว้ย มีคนให้รักกลับไม่รัก คนที่รักกันไม่ได้กลับเว้าวอนซ่อนอยู่ในใจ
“วันนี้น้องอั้มตื่นสาย คงต้องเป็นวันถัดไป อาเดียวอย่าลืมปลุกอั้มนะคะ”
“ได้สิ ต่อไปนี้ถ้าอั้มจะดื่มต้องมีอาอยู่ด้วย ขืนไปดื่มที่อื่นแล้วเมามายแบบนี้ ใครจะดูแลดูเราสิสร้างวีรกรรมไว้มากมาย”
“หา !! อั้มทำอะไรไว้คะ”
“นี่เราจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“จะ...จำไม่ได้ ว่าแต่อั้มทำอะไรลงไปเหรอคะ”
“อั้ม...เอ่อ ก็” ดรัณติดอ่างไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จะบอกทุกวีรกรรมหลานสาวให้เจ้าตัวรู้ทั้งหมด หรือเก็บบางส่วนไว้ เพราะเขารู้สึกพึงใจกับการถูกหลานหอมแก้มจนช้ำ เพราะหลานบอกว่า ขอบคุณอาเดียว ขอบคุณ แก้มซ้ายที แก้มขวาที จนนับไม่ถ้วน และการที่อัมพิกาทำเหมือนยังไม่โตแบบนั้น เขาก็ยิ่งบาปในใจที่คิดกับเด็กในปกครองเลยเถิด
“ว่าไงคะอาเดียว” หลานสาวตัวแสบกระโดดพรวดเข้าใกล้อาเดียวที่กำลังคิดไม่ตก ทั้งยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดผู้เป็นอา ดรัณเบิกตาโต ราวกับไม่เคยใกล้ชิดหลานสาวมาก่อน เขากวาดตามองคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้ววกกลับมาที่ริมฝีปากจิ้มลิ้ม หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน “อั้มทำอะไรคะอาเดียว” ภาพเหมือนสโลว์โมชั่น กลีบปากที่ขยับขึ้นลงช่างก่อกวนหัวใจแกร่ง ที่ไม่เคยยกให้ใครเหลือเกิน ‘อั้มกำลังทำลายตบะของอา’ เขาคิดอย่างทรมานไปทุกส่วน
“เอ่อ...ปะ...เปล่า อั้มก็แค่พูดจาเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านน่ะ” เขาเบือนหน้าหนีกล่าวเท็จเกินครึ่ง กับวีรกรรมที่แม่เจ้าประคุณแอบดื่มพั้นท์ โดยไม่ฟังคำสั่งอา แสร้งไม่มองริมฝีปากที่คล้ายเชิญชวนเขาเวลาขยับเจรจา
“อา...ขอตัวก่อนนะ รีบอาบน้ำ รีบกินข้าวต้มซะ แล้วเดี๋ยวไปที่ร้านกัน” ดรัณลนลานออกจากห้องนอนหลานสาว เดินครุ่นคิดไปตามทาง หรือว่าถึงเวลาที่เขาควรจะมีใครสักคนแล้ว อัมพิกาเรียนจบ โตเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองได้แล้ว เขาควรลดความห่วงในตัวหลานคนนี้ซะที หากห่วงใยใกล้ชิดกันต่อไป มีหวังได้ลำบากใจหนักกว่านี้แน่
“อ้าว ไม่สบายหรือไงตาเดียว ทำไมคิ้วผูกโบว์อย่างนั้นล่ะ” มารดาที่เพิ่งก้าวออกจากครัว เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกชายเดินลงมาจากชั้นสองด้วยสีหน้ายุ่ง
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณแม่”
“แล้ววันนี้จะเปิดร้านหรือเปล่า”
“เปิดเหมือนเดิมล่ะครับ เวลาเดิมสิบเอ็ดโมง ถึงห้าทุ่มไม่เปลี่ยนแปลง เออ...สิ้นเดือนนี้เราไปเที่ยวทะเลกันไหมครับแม่ ไปกันทั้งครอบครัว ชวนพี่ณีพี่วีและครอบครัวด้วย นานแล้วที่บ้านเราไม่เคยได้ไปสนุกร่วมกัน”
“สองคนนั้นจะว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”
“แม่ลองชวนดูหน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่ว่างเราค่อยไปแค่นี้ก็ได้ มีผม อั้ม และสาวใช้สองคน คงไม่เป็นอะไร”
“นึกยังไงอยากเที่ยวทะเล”
“ผ่อนคลายบ้างครับ ผมทำงานหนักติดต่อกันมาหลายปี หนำซ้ำยังต้องทำตัวเป็นพ่อดูแลน้องอั้มมาตั้งหลายปี คนไม่เคยมีลูกไม่เคยเป็นพ่อ งานค่อนข้างหนักอยู่เหมือนกันนะครับ”
“อืม ก็ดีแม่เห็นเดียวทำงานหนักก็สงสาร แล้วเรื่องน้องอั้มจะเอาไงต่อ นี่เขาก็เรียนจบ ดูแลตัวเองได้แล้ว จะปล่อยมือจากเขา หาเมียของตัวเองได้หรือยัง”
“ผมคิดๆ อยู่เหมือนกันครับ”
“แม่ว่าแม่หวานเพื่อนเดียวก็ไม่เลวนะ”
“เอ่อ...ผมไม่ได้คิดอะไรกับหวานเลยครับ”
“เริ่มคิดซะสิ” สองแม่ลูกกำลังคุยกันถึงเรื่องอนาคต คนเป็นแม่รู้สึกเป็นห่วงลูกชาย ซึ่งอายุป่านนี้แล้วยังไม่ เริ่มต้นคิดเรื่องแต่งงาน มัวเอาเวลามาทุ่มเทให้ลูกคนอื่น คำสัญญาอะไรกันนักกันหนา ถึงต้องยึดมั่นกันขนาดนี้ ดรุณีเคยพาดรัณไปดูตัวหลายครั้ง ลูกชายเองกลับทำเหมือนยุ่งมากไม่ไปตามนัด บางครั้งไปด้วยกลับขอตัวกลับก่อน บอกว่าเป็นห่วงร้าน เกรงพนักงานดูแลลูกค้าไม่ดี ที่ไหนได้ไปรับแม่หลานคนโปรดจากมหาวิทยาลัยแค่นั้น
แล้วเวลานั้นเองเสียงที่สองแม่ลูกเพิ่งกล่าวถึงชื่อ กลับโผล่มาอย่างเร็ว ราวกับเสียงดังไปไกลถึงหล่อน
“สวัสดีค่ะ...หวานเองค่ะมีใครอยู่ไหมคะ” วิสาจันทร์โผล่เข้ามาในบ้าน ในมือหอบหิ้วตะกร้าของบำรุง และผลไม้มาหลายถุง
“อ้าว หนูหวาน มาๆ เข้ามา เจี๊ยบเอ้ยผ่องเอ้ย มารับของจากคุณหวานที” ดรุณีเอ่ยปากชวนแขก พร้อมกับตะโกนบอกสาวใช้
“สวัสดีค่ะคุณแม่ หวานแวะมารับเดียวไปที่ร้านด้วยกันค่ะ เดียวหวัดดีค่ะ” ถึงแม้วิสาจันทร์จะอายุน้อยกว่าดรัณสองสามปี ทว่าด้วยความเคยชินในความเป็นเพื่อนตอนเรียน ตอนฝึกงานด้วยกัน มาถึงตอนนี้จึงเรียกเดียวเช่นเดิม เพื่อความสมจริงในความเป็นเพื่อน แม้หล่อนเองไม่เคยคิดกับดรัณเป็นเพื่อนก็ตาม ที่หล่อนคิดคืออยากเป็นคนรัก มากกว่าเพื่อนเท่านั้น
“เชิญนั่งๆ ตามสบายนะ นึกว่าบ้านของหนูหวานเองแล้วกัน”
“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ หวานมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
“คุยเรื่องหนูหวนกับ...”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกำลังจะออกไปที่ร้านพอดี”
“งั้นก็ไปกันเลยสิคะ”
“รอเดี๋ยวก่อนครับ รอน้องอั้มก่อน”
“หืม...อีเด็ก...เอ่อน้องอั้ม จะไปที่ร้านด้วยเหรอคะ”