ตอน 3
เขาบูรณะบ้านเก่าแก่หลังนี้ด้วยเงินจำนวนมากทีเดียว หากแต่เมื่อเสร็จสิ้นช่างคุ้มค่า ให้บรรยากาศราวกับย้อนไปร้อยกว่าปีเลยเชียวล่ะ ด้านนอกทาสีขาวทั้งหลัง ส่วนหน้าต่างและประตูทาสีฟ้า ส่วนด้านในชั้นหนึ่งทาสีฟ้าทั้งหมด ใช้เฟอร์นิเจอร์ย้อนสมัยทั้งสิ้น ตบแต่งด้วยภาพถ่ายโบราณ เท่าที่พอจะหาได้ตามตลาดค้าของเก่า ทำยังไงได้เขาชอบสไตล์นี้ แม้ว่าอัมพิกา ชื่นชอบความเป็นสมัยใหม่ เขาก็ยอมให้เพียงแค่ด้านนอกตัวบ้าน คือในสวน ให้ประดับประดาโคมไฟร่วมสมัยได้
วิสาจันทร์ก้าวเข้ามาประชิดร่างสูงใหญ่ แล้วคล้องแขนกับชายหนุ่ม ลากให้เข้าไปดูความเรียบร้อยด้านใน ความจริงหล่อนอยากอยู่กับชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารตามลำพังบ้าง เวลาที่มีหลานสาวคนนี้อยู่ หล่อนมักได้แค่มองอาหลานพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“อูย...” พนักงานหลายคนต่างส่งเสียงครางในลำคอ เมื่อเจ้านายโดนฉกไปต่อหน้า แล้วหันกลับมามองอัมพิกาเป็นตาเดียว หากว่าหญิงสาวซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความยิน ได้แต่ยิ้มละไม ในแบบสาวน้อยเริงร่าเช่นเคยๆ “น้องอั้ม คุณอาโดนฉกไปแล้ว พี่น้ำว่าคุณหวานจ้องงาบคุณอาของน้องอั้มอยู่เป็นแน่นะคะ”
“เขาเป็นเพื่อนกันมานาน จะเป็นแฟนกันไม่เห็นจะแปลกนี่คะ ดีซะอีกน้องอั้มจะได้มีอาสะใภ้ซะที” แต่เมื่อตอบไปแบบนั้นอัมพิกากลับรู้สึกหวิวๆ บอกไม่ถูกว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่ อยากให้อามีแฟนหรือไม่อยาก หรือมากกว่านั้นเธอคิดอะไรกับอาเดียวกันแน่
อายุจนป่านนี้แล้วทำไมอาเดียวไม่มีแฟน หรือไม่แต่งงาน ทั้งๆ ที่ควรจะแต่งไปตั้งนาน นี่ถ้าแต่งคงมีลูกโตทันอิมพิกาแล้วกระมัง
งานเลี้ยงเริ่มต้นในเวลาต่อมา เมื่อปู่วสันต์ กับย่าดรุณี บิดาและมารดาของดรัณ รวมไปถึงพี่สาวทั้งสองของเขาด้วย ป้าวณิดา ป้าวีรดี ดรัณมีพี่สาวสองคน เขาเป็นลูกคนเล็ก จึงชื่อเดียวมาจากลูกชายคนเดียว ไม่ได้มาจากลูกคนเดียว อย่างที่ใครๆ คิด
“คุณย่าขา คุณปู่ขา คุณป้าณิกับป้าวี ก็มาด้วย” อัมพิกาที่ทุกคนในบ้านรักดั่งว่าเป็นหลานแท้ๆ เมื่อสิบสองปีก่อนที่ดรัณพาเด็กหญิงกำพร้าเข้าบ้าน แล้วแนะนำให้ทุกคนรู้จัก บอกเล่าเรื่องราวโดยไม่ปิดบัง ทุกคนเต็มใจรับเด็กหญิงเข้ามาร่วมชายคาบ้านด้วยความเต็มใจ อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี แต่โดยรวมก็เป็นหน้าที่อาที่นำหลานสาวนอกไส้เข้ามาในบ้าน
“อุ้ย...คุณพ่อคุณแม่ คุณพี่ทั้งสอง มาแล้วเหรอคะ เชิญๆ ด้านในค่ะ” วิสาจันทร์วิ่งหน้าบานย่ำบนรองเท้าส้นสูงสีม่วงของเธอออกมาต้อนรับ พ่อแม่และพี่ๆ ของดรัณอย่างหน้าตาเบิกบาน พนมมือไหว้ราวกับชาววังไม่ปาน
ทุกคนในบ้านต่างเข้าใจกันหมดว่าวิสาจันทร์ คือคนรักของดรัณ เพราะเข้านอกออกในบ้านก้องกิดากร อย่างอิสระ หล่อนมักหอบหิ้วข้าวของจากไทยบ้าง จากเมืองนอกบ้างไปฝากคนทั้งบ้านไม่ขาด อ่อนน้อมถ่อมตนจนค้นทั้งบ้านหลงรักหล่อนกันทุกคน แต่...อัมพิการู้ดีว่าวิสาจันทร์ ช่างแสร้งเสได้แนบเนียน ลับหลังทุกคน เธอคือคนที่ถูกอัมพิกาปั้นหน้านางยักษ์ใส่อยู่บ่อยๆ
“วันนี้หน้าผู้จัดการบานกว่าทุกวันแกว่าไหมน้ำ” แก้วเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“นึกว่าเห็นแค่ฉันคนเดียว ผู้จัดการคงกะฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อผัวแม่ผัวเลยล่ะงานนี้ สงสัยเจ้านายเราโดนงาบแหง” น้ำพูดขึ้นอย่างแฝงด้วยอารมณ์ ที่ถูกหมกอยู่ข้างใน ถ้าใครไม่ได้สนิทสนมกับวิสาจันทร์ จะไม่มีทางรู้ว่าหล่อนนั้นเป็นคนอย่างไร ภายนอกใบหน้าสวยสดงดงาม ท่าทีสูงส่งนั้นแฝงด้วยความร้ายกาจ ชนิดที่หาตัวจับยาก ต่อหน้าดรัณเธอทำตัวดั่งนางฟ้า แต่ลับหลัง...หึ...อย่าให้พูดถึง
สองสาวพนักงานเสิร์ฟคุยกันอยู่ลำพัง
“พวกขี้อิจฉา สวยไม่เท่าคุณหวาน ก็พาลพาโล” จุนซึ่งเดินถือจานและแก้วเครื่องดื่มมาแหมะก้นลงนั่งเก้าอี้ไม้ฉลุพนักพิงสีเขียว สีเดียวกันทั้งร้านเบะปากใส่สองสาวที่จ้องจะนินทาแต่เจ้านาย
“แกว่าใครนังจุน” น้ำปราดไปยืนตรงหน้าจุน
“ใครอยู่แถวนี้อยากรับก็รับไปสิ” จุนไม่สนใจสนแต่ว่าใครจ่ายเงินเดือน แล้วใครดีกับหล่อนเท่านั้น และนั่นคือดรัณ กับวิสาจันทร์ ซึ่งวางใจหล่อนในหลายเรื่อง
“ไปเถอะแก้ว อย่ายุ่งกับหมาบ้าเลย เดี๋ยวเราจะโดนแว้งกัดไปด้วย” น้ำฉวยข้อมือแก้วเดินหนีไป ทิ้งให้จุนอยู่คนเดียวด้วยท่าทีนิ่งคิด
“หมาบ้า...มันว่าใครวะ” จุนบ่นพึมพำพร้อมกับมองรอบกายกลับไม่พบใครอยู่แถวนั้น จึงดีดผางขึ้น “กรี๊ด นังน้ำแกว่าฉันเหรอ แกสิหมาบ้าเที่ยวกัดคนนั้นคนนี้”
วันนี้บ้านกิดากร ปิดเพื่อเลี้ยงฉลองให้กับวันรับปริญญาอัมพิกา พนักงานได้อานิสงส์สนุกสนานกับอาหารเลิศรสฟรีๆ กันถ้วนหน้า
วิสาจันทร์เดินถือจานบาบีคิว ซึ่งไปแย่งจากมืออัมพิกามา เพื่อมาบริการว่าที่ครอบครัวผัวที่ตัววาดหวังไว้ หล่อนตามติดดรัณมาหลายปี หวังให้เขาเป็นของหล่อน นานหลายปีหัวใจดรัณ กลับไม่เคยเปิดแง้มคำว่าคนรักให้เธอได้ย่องเข้าไปนั่งเลยสักครั้ง สิ่งที่เขาแสดงออกต่อเธอสำคัญเหนือคนอื่นก็จริง หากแต่ในความสำคัญกลับไม่เคยเอ่ยให้ความหวังดั่งคนรักบ้าง
วันนี้เป็นวันดีหล่อนจะฝากเนื้อฝากตัวกับว่าที่พ่อผัวแม่ผัวซะเลย
“บาบีคิวค่ะคุณพ่อคุณแม่” ผู้จัดการร้านคนสวย หัวสูง ไฮโซวางจานบาบีคิวลงบนโต๊ะตรงหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ขอบใจมากแม่หวาน” ดรุณีระบายยิ้มให้หลังจากขอบอกขอบใจ เพื่อนสนิทของลูกชาย “แล้วนี่ตาเดียวไปไหนซะล่ะ” เอ่ยถามถึงลูกชาย
“วุ่นอยู่ในครัวค่ะคุณแม่” หล่อนบอก ความจริงไม่รู้ดรัณจะไปวุ่นอะไรนักหนาในครัว เพราะทุกอย่างต่างก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว สู้มานั่งร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ แล้วคุยเรื่องหล่อนกับเขายังจะดีซะกว่า
“อ้าวแล้วของฉันกับพี่ณีล่ะยะแม่หวาน” วีรดีพูดขึ้นมาไม่ได้จริงจังในคำพูดนัก ดูออกอยู่ว่าวิสาจันทร์ต้องการเอาใจพ่อแม่ของตน แต่อดขัดคอแซวไม่ได้เท่านั้น
“ของคุณพี่ทั้งสองอยู่รวมกันในนี้ล่ะค่ะ มีมากมายตั้งหลายไม้ คุณพ่อคุณแม่คงทานไม่หมด” แล้วหล่อนหัวเราะสำทับ
อัมพิกาถือแก้วเครื่องดื่มซึ่งน้ำเป็นคนยื่นให้ เดินเข้าไปในครัวขณะกำลังจะยกขึ้นจิบอยู่นั้น เสียงดังราวกับฟ้าฝ่าดังขึ้นตรงหน้า
“นั่นน้ำอะไรอั้ม”
“ไม่รู้ค่ะ”
“ไม่รู้แล้วทำไมจะดื่มล่ะ”
“ก็พี่น้ำส่งให้นี่คะ”
“ไหนขออาดูหน่อย” ดรัณดึงแก้วจากมืออัมพิกาไป แล้วยกขึ้นจดปลายจมูก “นี่มันเหล้านี่คะ”
“ไม่หรอกค่ะพี่น้ำบอกว่าดื่มแล้วไม่เมาเป็นน้ำพั้นท์ น้ำผลไม้ธรรมดาเอง”
“ไปเปลี่ยนดื่มไม่ได้เด็ดขาด เรายังเด็กน้ำผลไม้ก็จริง แต่มันผสมเหล้า”
“อาเดียวขา น้องอั้มโตแล้วนะคะ บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย แก้วเดียวเองอั้มไม่เมาหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ เป็นผู้หญิงริอ่านดื่มของมึนเมา แล้วนี่เข้ามาในครัวทำไม” ต่อว่าหลานสาวตัวโตไป แต่เขากลับไม่ยอมส่งแก้วเครื่องดื่มคืน กลับเป็นฝ่ายกระดกดื่มเองพรวดเดียวจนหมด
“อาเดียวบ้า” หลานสาวคนสวยงอนหมุนกายหันหลังให้ผู้เป็นอา
“แล้วนี่เข้ามาในครัวทำไม”
“อ้อ...ลืมไปเลยคุณปู่กับคุณย่าและพวกป้าๆ มาแล้วนะคะ”
“งั้นหรือโอเคเดี๋ยวอาล้างมือจะตามออกไป อ้อ...ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด ถ้าอารู้อาจะลงโทษเราเข้าใจมั้ยคะ” เขาหันไปเปิดก๊อกล้างมือ พลางกำชับกับหลานสาวอีกครั้ง เขาไม่อยากให้อัมพิกาดื่ม เที่ยวเหมือนเด็กสาวใจแตกทั่วไป ที่เขาเห็นเดินเข้าเดินออกตามผับตามบาร์ หากอัมพิกาต้องการเที่ยวดื่ม สถานที่แบบนั้นเขาจะเป็นคนพาไปเอง
“ชิ...อาเดียวจอมเผด็จการ เชื่อก็บ้าล่ะ” อัมพิกาน่ารักน่าชัง เชื่อฟังดรัณก็จริง หากแต่ตอนนี้หญิงสาวโตแล้ว ย่อมอยากลอง อยากรู้ในสิ่งที่ถูกห้ามมาตลอดอยู่ดี แล้วหลังจากเดินออกจากครัว อัมพิกาจึงจัดการชิมน้ำพั้นท์สีชมพูหมดไปหลายแก้ว ราวกับจะประชดผู้เป็นอาที่ห้ามซะจนอึดอัดไปหมด
ปรากฏว่าคืนนั้นอัมพิกา เมาสลบไสลไม่ได้สติ กระทั่งดรัณต้องอุ้มกลับบ้าน ปิดโอกาสวิสาจันทร์ได้ทำคะแนน หรือแม้แต่แง้มเรื่องระหว่างเขากับหล่อนเสียสนิท ทำให้หล่อนอารมณ์เสียอยากจะฆ่านังหลานนอกไส้เสียให้ตาย นี่คงเมาเรียกร้องความสนใจล่ะสิ หึ...วิสาจันทร์เก็บเอาความแค้นใจกลับไปด้วย สักวันต้องหาวิธีจัดการนังหลานคนนี้ให้ได้ ระหว่างที่คิดอยู่นั้นพลันความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา หล่อนกระตุกยิ้มกับตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่