ตอน 2
“คุณอาเดียวขา” หญิงสาวบัดนี้เติบโตเป็นสาวเต็มตัวในชุดครุยสีขาว คาดริ้วสีทองและแถบตามคณะที่ศึกษา กระโดดสวมกอดชายหนุ่ม ด้วยความดีใจสุดกลั้น ในที่สุดเธอก็มีวันนี้วันแห่งความสำเร็จ
“พอแล้ว” ชายหนุ่มถูกหลานกอดจนตัวโอนเอน เพราะต้องรับน้ำนักแม่เจ้าประคุณ ทั้งตัวซึ่งโถมตัวมากอดด้วยอาการปลื้มใจสุดกำลัง
“ทำไมคะอาเดียวก็อั้มดีใจนี่คะ” หญิงสาววางเท้ายืนกับพื้น หลังจากถูกอาเดียว ผู้ใจดีปราม มองหน้าคุณอาขา ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนัก
“เอ่อ...อาเข้าใจค่ะ” คุณอาผู้ใจดีตอบรับ นี่เขาดูแลอัมพิกามาสิบกว่าปีแล้วเหรอ แล้วเด็กคนนี้ยิ่งโตยิ่งไม่ใช่ธรรมดา ทั้งสวย ทั้งน่ารัก และยังสดใส ช่างเจรจา เขาอยู่ใกล้ทีไรพลอยมีความสุขไปด้วย วันเวลาละลายความเศร้าหมองไปจากหัวใจหญิงสาวได้ นึกแปลกใจอยู่ว่าเขาเองก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่ต้องเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบใหญ่ โดยที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือดต่อกัน
“อั้มก็กอดอาเดียวแบบนี้ทุกทีที่ดีใจ ทำไมวันนี้กอดไม่ได้ล่ะคะ หรือว่าอาเดียวพาสาวมาด้วย” แต่เธอก็คือหลาน ต่อให้อาเดียวมีแฟน คนเป็นหลานย่อมกอดได้เหมือนเคยสิ คิดมาถึงตรงนี้หลานนอกไส้อย่างเธอ นึกน้อยใจขึ้นมา หากว่าวันใดที่อาเดียวมีแฟนแล้วแต่งงานออกไปเธอจะอยู่ได้อย่างไร
“ไม่มีทั้งนั้นล่ะ ไปกลับบ้าน วันนี้อาปิดร้านฉลองให้อั้มเลยนะคะ” เขาครองความโสดมาถึงสี่สิบปีได้อย่างไร ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจตัวเอง หรือเพราะการงาน อันยุ่งเหยิงอีกทั้งภาระที่เขาแบกไว้บนบ่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้เขาไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้มีคู่กันแน่
“แหง...ล่ะค่ะหลานสาวคนเดียวจบปริญญา อาเดียวคนดีจะใจร้ายไม่เลี้ยงได้อย่างไร แต่ว่า...ปิดร้านแบบนี้ บ้านกิดากร ก็ขาดรายได้น่ะสิคะ” อาเดียวของน้องอั้ม รักร้านอาหารนานาชาติร้านนี้มาก ทำหน้าที่ปรุงอาหารเอง ออกแบบทุกอย่างเอง แม้จะจ้างพ่อครัวมืออาชีพตั้งสามคน หากแต่คุณอาเดียวยังคงเข้าครัวเองอยู่บ่อยๆ นัยว่าบางครั้งลูกค้าขอเป็นฝีมืออาเดียวเท่านั้น
“วันเดียวเองขนหน้าแข้งอาไม่ร่วงหรอกน่า” เขาตั้งใจไว้อย่างนั้นจริงๆ จึงติดป้ายวันหยุดไว้หน้าร้าน แล้วสั่งให้ลูกน้องในร้าน ตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างรอเขากับอัมพิกากลับไป หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยอย่างที่เขาวางไว้
“เย้ๆๆ รักอาเดียวที่สุดเลยค่ะ” แล้วหญิงสาวจึงกระโดดกอดคุณอาหนุ่มซะแน่นอีกครั้งด้วยอาการลืมตัว แต่เธอกอดอาเดียวแบบนี้มานานแล้ว ไม่ได้คิดอะไรในความชิดใกล้
ทว่า...ได้โปรดเห็นใจคนเป็นอาด้วย นับวันหลานสาวก็ยิ่งจะสวยโดดเด่น ผิวพรรณผุดผ่องไร้ที่ติ หนำซ้ำทรวดทรงองค์เอว เวลาสวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ อยู่บ้านนั้น ช่างล่อลวงอานอกไส้ให้กระเจิดกระเจิงอยู่เนืองๆ
“นอกจากปิดร้านเลี้ยงบัณฑิตใหม่แล้ว อามีนี่ให้ด้วยนะ” คุณอาหนุ่มหล่อ ดึงของที่ว่าออกจากด้านหลัง มันคือตุ๊กตาหมี ใส่ชุดครุยสถาบันที่อัมพิกาเรียน มาแสดงต่อหน้าหลานสาวคนสวยและเก่ง ขนาดคว้าปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครองได้
“อุ้ย น่ารักจังน้องหมีบัณฑิต” อัมพิกายิ้มรับกับของขวัญที่ถูกยื่นมาให้ มือบางรับแล้วพลิกดูเจ้าหมีด้วยความเสน่หา ตรงตัวของมันปักคำว่า ‘แด่หลานอั้ม จากอาเดียว’ ปักวันที่ไว้ด้วย “อั้มจะเก็บไว้ให้ดีที่สุด” หญิงสาวกอดหมีน้อยน่ารักแนบแก้ม เงยหน้ามองอาเดียวผู้แสนน่ารักเสมอมาอย่างหัวใจหวิว นานมากแล้วที่เธอมองอาเดียว ให้รู้สึกเลือดลมสูบฉีด และทุกครั้งก็ต้องพยายามสงบความคิดนอกลู่นอกทาง ที่แวบเข้าในหัวอย่างนี้ทุกครั้ง ด้วยคำว่า ‘ผู้มีพระคุณ’
“ชอบมั้ย” เขาชะโงกหน้าไปถามหลานสาว
“ชอบที่สุดเลยค่ะอาเดียวขา” ปากตอบอย่างเริงร่า แล้วยังเขย่งหอมแก้มคุณอาใจดีที่ให้ของขวัญถูกใจชิ้นนี้
“อั้ม” ดรัณแสดงสีหน้าปูเลี่ยนๆ ไม่ใช่เขาไม่ชอบที่หลานสาวแสดงออกความรัก ความสดใสแบบนี้ หากว่าความรู้สึกบางอย่างเมื่ออดีตเริ่มเปลี่ยนไปหลายปีมาแล้ว เขาพยายามในการไม่คิดอะไรกับหลานสาว ซึ่งนับวันสวยวันสวยคืน
รถยนต์ของดรัณแล่นมาจอดหน้ารั้วสีขาวสลับฟ้า หน้าประตูทางเข้าซึ่งเป็นโดมโค้งทำด้วยไม้ระแนงเช่นเดียวกับรั้ว เน้นสีฟ้าและขาวอย่างสดใส มีป้ายไม้สีขาวตัวอักษรสีแดงเขียนว่า “บ้านกิดากร” นี่ไม่ใช่บ้านหากแต่เป็นร้านอาหาร จัดตกแต่งบรรยากาศแบบบ้าน ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรับประทานอยู่ในบ้าน และสวนหลังบ้าน
“อั้มรักบ้านกิดากรจังค่ะอาเดียว ให้บรรยากาศอบอุ่นเสมอ” หญิงสาวในชุดนักศึกษา ลงจากรถแล้วก้าวผ่านประตูโค้งไม้ระแนงเข้าไป อ้าแขนสูดอากาศในสวนซึ่งจัดให้เป็นร้านอาหาร รายล้อมไปด้วยความเป็นวินเทจ เธอมาช่วยเสิร์ฟอาหารที่ร้าน ในวันว่างจากการเรียน ตั้งแต่ดรัณรับเธอมาอุปการะ หลังจากบุพการีเสีย โดยบ้านหลังนี้ทำเป็นร้านอาหาร หากแต่ที่พักคืออีกที่ แต่บางทีหากดรัณเหนื่อยจริงๆ ก็อาศัยพื้นที่ชั้นสองนอนอยู่บ่อยๆ
“เย้ๆๆ เชฟเดียวมาแล้ว น้องอั้มเหนื่อยไหมคะ” พนักงานในร้านนางหนึ่งวิ่งออกมาต้อนรับ พร้อมกับเพื่อนพนักงานอีกห้าคนวิ่งออกมาด้วย ร้านนี้ใหญ่โต จึงต้องใช้พนักงานมากสักหน่อย พนักงานเสิร์ฟหกคน ผู้จัดการร้านหนึ่งคน เชฟอีกสามคนรวมดรัณก็เป็นสี่ พนักงานล้างจานอีกสี่คน ทว่าทุกคนที่กล่าวมาย่อมต้องช่วยงานกันได้ทุกคน ทดแทนกันได้ ด้วยดรัณจ่ายค่าจ้างสมน้ำสมเนื้อไม่เอาเปรียบ
“นิดหน่อยค่ะพี่น้ำ”
“มามะให้พวกพี่กอดแสดงความยินดีหน่อย บัณฑิตใหม่” น้ำสวมกอดร่างบอบบางในชุดนักศึกษาน่ารัก คนอื่นก็ทยอยเข้ามากอด หญิงสาวส่งยิ้มหวานมิตรไมตรีให้กับทุกคน กระทั่งมาถึงพนักงานสองคนสุดท้าย ที่อ้าแขนเตรียมกอดน้องอั้มของพวกเขาเช่นเดียวกับสามสาวก่อนหน้า
“เฮ้ย...ไอ้ปี๊บเอ็งไม่เกี่ยว”
“อ้าวเจ้านายผมก็จะแสดงความยินดีกับน้องอั้มแบบที่พี่น้ำ พี่แก้ว พี่จุนทำบ้างไง”
“ไอ้ปี๊บแกเป็นผู้ชาย แค่แสดงความยินดีด้วยคำพูดก็พอ นี่หลานฉัน อย่ารุ่มร่าม เอ็งด้วยไอ้หมอก” ว่าปี๊บแล้วพลางหันไปเตือนหมอกที่ต่อจากปี๊บด้วย
“ลำเอียงนี่หว่าเจ้านาย”
“ถ้าแกอยากกอดมากอดฉันนี่มา” ดรัณอ้าแขนกว้างเพื่อให้ปี๊บกอด
“ไม่ล่ะ ฟ้าผ่าแย่” ปี๊บทำท่าขนลุก พลางหดตัวห่อไหล่ ไม่อยากกอดเจ้านายมากกว่าหลานเจ้านาย อยากสมัครเป็นหลานเขยนานแล้ว แต่ก็กลัวทำอนาคตน้องอั้มเสียหาย จึงรอเวลาให้เรียนจบ แล้วนี่ยิ่งวันนี้วันแห่งความยินดี น้องอั้มสวยผ่องผุด แฝงไปด้วยความสดใสน่ารัก
“เป็นงั้นไป” ดรัณขำท่าทางของปี๊บ อดหัวเราะไม่ได้
อัมพิกาไม่ค่อยเห็นอาเดียวแสดงท่าทีหัวเราะเสียงดังแบบนี้ ทุกครั้งเธอมักเห็นอาเดียวชี้นิ้วบอกพนักงาน ให้ทำงานให้เรียบร้อยก่อนร้านเปิด ก่อนลูกค้าเดินเข้าร้าน เดินสำรวจตรงนั้นตรงนี้ โต๊ะอาหาร จานชามสะอาดดีหรือยัง ทุกอย่างพร้อมไหม วันๆ อาเดียวจะเป็นอยู่แบบนี้ จนกลายเป็นคนซีเรียส หากแต่ไม่ได้ดุดันอะไร เธอรู้ดีเพราะอยู่ใกล้ชิดอาเดียวมาตั้งสิบกว่าปี กับเธออาเดียวไม่เคยดุ มีแต่สั่งสอนให้ทำนั่นนี่ตามประสาผู้ปกครอง ที่ควรสั่งสอนเด็ก สิ่งที่อาเดียวกำชับมากที่สุดคือเรื่องแฟน บอกว่าจะมีแฟนต้องให้อาเดียวดูด้วย แต่ไม่ว่าพาใครมาให้อาเดียวดูตัวกลับไม่ผ่านความเห็นชอบจากอาเดียวสักคน
“มากันแล้วเหรอคะ” เสียงหวานผู้หญิงที่มีบุคลิกสะโอดสะองที่สุดใน “บ้านกิดากร” คือคุณผู้จัดการร้านคนสวย ท่าทางเย่อหยิ่ง เพราะเป็นเพื่อนดรัณ ดึงกันมาช่วยงานร้านตั้งแต่ร้านเปิดใหม่ๆ เมื่อสิบสองปีก่อน
“อ้อ...หวาน กลับมาแล้วครับ” ดรัณหันไปบอกเพื่อนสนิท ที่เขาวางใจให้จัดการงานทุกอย่างแทน ในเวลาที่เขาไม่อยู่ วิสาจันทร์ ทำได้ดีกว่าเขาซะอีกในหลายๆ เรื่อง ทั้งเขาและหล่อนเคยเรียนทำอาหารมาด้วยกันตอนอยู่ต่างประเทศ ฝึกงานที่โรงแรมเดียวกัน ความจริงหล่อนเป็นผู้จัดการอยู่ที่โรงแรมหรูกลางกรุงเทพฯ นี่ล่ะ หากว่าเขาไปดึงตัวหล่อนมาเอง จึงค่อนข้างเกรงใจอยู่มาก เวลาที่หล่อนจะพูดจะแนะนำอะไร เขาจำต้องโอนอ่อนด้วยภาวะความเกรงใจ
ดรัณซื้อที่ดินพร้อมบ้านเก่าแก่หลังนี้ ไว้นานแล้ว ตั้งใจจะเข้ามาอยู่แต่เมื่อเขาลาออกจากการเป็นเชฟ ด้วยมีภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็กหญิงวัยสิบขวบ เกรงว่าวันที่เขาไปทำงานจะไม่มีใครดูแลอัมพิกา จึงลาออกและคิดว่าจะทำอะไรกับที่ดินและบ้านวินเทจหลังนี้ดี ความคิดทำร้านอาหารจึงผุดขึ้นมาในสมองของเขา จากนั้นชายหนุ่มจึงวางแผนการดำเนินงานทุกอย่าง อย่างเป็นรูปเป็นร่าง แล้วจึงเกิดเป็นร้านอาหาร บ้านกิดากร แบบที่เห็นในปัจจุบัน