ตอน 1
ณ โรงพยาบาลเอกชน
ร่างเด็กน้อยวัยสิบขวบ โยกโยนเนื่องจากการร้องไห้ มือเล็กเกาะขอบเตียงผู้ป่วย การสูญเสีย การพลัดพรากไม่ว่าใครก็ใครย่อมไม่ต้องการพบเจอ หากว่าเมื่อเราอยู่บนโลกมนุษย์ ย่อมหนีไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ และตาย
เด็กหญิงวัยสิบขวบ ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อเลิกเรียนกลับมาที่บ้าน ภายในบ้านเงียบงัน ไม่กี่นาทีโทรศัพท์จากผู้ชายเสียงทุ้ม ฟังจากน้ำเสียงนั้นค่อนข้างใจดี หากกลับเอ่ยประโยคที่ทำให้เด็กหญิง ต้องหลั่งน้ำตาออกมา
ไม่กี่นาทีหน้าบ้านจึงมีรถยนต์แล่นมาจอดหน้าบ้าน พร้อมกับรับเธอไปยังโรงพยาบาล ที่เสียงในโทรศัพท์แจ้ง “พ่อขา แม่ขา อย่าจากน้องอั้มไปนะคะ น้องอั้มจะเป็นเด็กดี น้องอั้มรักพ่ออาร์ต กับแม่เกษค่ะ” เด็กหญิงปล่อยให้น้ำตาร่วงริน เมื่อเห็นร่างบุพการีนอนนิ่งอยู่บนเตียง ตรงแขนมีสายน้ำเกลือ กับสายให้เลือด ส่วนตรงปากก็มีเครื่องช่วยหายใจครอบเอาไว้
เด็กน้อยร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ คนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง เป็นชายแท้ๆ ตัวโตมาดแมน เกือบจะกักน้ำตาไว้ไม่ไหวกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า เขาเอื้อมมือไปแตะไหล่เด็กน้อย ลูบเบาๆ เพื่อให้หนูน้อยคลายความโศกเศร้า แม้ว่าตัวเขาก็เศร้าไม่น้อย ใครจะอยากเจอพ่อกับแม่หายใจรวยรินอยู่บนเตียงพร้อมกันทั้งสองคน จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ สิบล้อเมายาบ้าปาดหน้า พุ่งตกเหวทั้งที่ไปงานบวช ซึ่งเป็นงานมงคลแท้ๆ
ชายหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามาโอบกอด ปลอบประโลม
“อย่าร้องเลยนะน้องอั้ม” เขาย่อเข่ายกมือจับหัวใจเด็กน้อยผู้น่าสงสาร เห็นหน้าเธอแล้วเขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ต่างกัน แต่เขาจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยต้องเป็นที่พึ่งให้กับเด็กน้อย ตามคำสั่งเสียของเพื่อนต่างวัย
“คุณอาเดียวขา น้องอั้มไม่มีพ่อแม่แล้ว” เด็กหญิงโผเข้ากอดชายหนุ่ม ด้วยหัวใจร้าวราน ที่พึ่งทั้งกายและใจกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอยังเด็กไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้า พ่อกับแม่จะหายหรือไม่ หรือต้องจากเธอไปโดยไม่มีวันกลับ หากลมหายใจของเธอ สามารถต่อชีวิตให้ท่านทั้งสองได้ เธอจะรีบทำทันที
“ท่านทั้งสองต้องหาย เชื่อคุณอานะคะ” นั่นเป็นแค่คำปลอบโยน เขาเองไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เท่าที่รู้อาการคุณพี่ทั้งสองสาหัสเอาการ ความเป็นความตายคาบเกี่ยวกันแค่เส้นด้ายเท่านั้น
“จริงๆ นะคะอาเดียว” เด็กน้อยเอ่ยถามผู้ใหญ่ด้วยคราบน้ำตา ปนเสียงสะอื้น
“จริงสิอาให้สัญญา จะให้คุณหมอรักษาพ่อกับแม่ของน้องอั้มให้หายวันนี้ล่ะ” ปกติดรัณก็ไม่ค่อยพูดจาหว่านล้อมเด็กตัวเท่านี้ นอกจากสาวๆ แต่เมื่อเข้าตาจนด้วยความสงสารเด็กน้อย เขาควรงัดวิชาเจรจาออกมาใช้ เพื่อให้เด็กน้อยสบายใจ แล้วยังแอบภาวนาให้พี่ทั้งสองหายวันหายคืน แม้ความหวังเลือนรางดั่งสายลมยามอากาศอบอ้าวก็ตาม
“แล้วถ้า...”
“ทำใจให้สบายนะคะ ไม่มีอะไรคุณพ่อคุณแม่อยู่กับคุณหมอแล้ว”
“น้องอั้มจะเชื่ออาเดียวค่ะ”
“ดีมากมาเร็วมากับอา อาจะพาไปกินไอติม” นี่คงเป็นสิ่งหลอกล่อเด็กได้ดีอีกสิ่งหนึ่ง เขาเองตอนเป็นเด็กถ้าเวลาร้องไห้งอแง แม่บอกว่าจะให้ไปกินไอศกรีม เขาก็หยุดร้องไห้ทันที แล้ววิ่งตามแม่ไปอย่างเริงร่า ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้เสียใจเลยก่อนหน้านั้น
“น้องอั้มไม่หิว น้องอั้มจะเฝ้าพ่อกับแม่” ทว่าอัมพิกากลับไม่เหมือนเด็กชายดรัณเมื่อตอนเด็ก เด็กน้อยดื้อดึงไม่อยากไปกับคุณอาหนุ่ม
“ให้คุณหมอได้รักษาท่านทั้งสองนะคะ เชื่อคุณอานะ ถ้าน้องอั้มอยู่แบบนี้คุณหมอจะรักษาพ่อกับแม่ไม่ได้นะ” ชายหนุ่มหลอกล่อ เขารู้ดีว่าอาการบุคคลทั้งสองตอนนี้เป็นอย่างไร ที่หมอโทรตามเขาให้ตามทายาทอาทิตย์และเกสรมาเพราะต้องการให้ดูใจกันในวินาทีสุดท้าย เผื่อบางทีมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นบ้าง แต่นั่นกลับเป็นเพียงความหวังริบหรี่เท่านั้น
“หมอขอคุยกับคุณสักนิดนะครับคุณดรัณ” นายแพทย์วายุก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเขา แสดงสีหน้านิ่งในแบบหมอที่ต้องรักษาคนไข้มานับร้อยนับพันคนด้วยอาการกระอักกระอ่วนเกี่ยวกับความเป็นความตาย เพราะอยู่แบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว
“ครับคุณหมอ” เขาตอบรับกับหมอวายุ
“น้องอั้มคะคุณอาขอคุยกับคุณหมอสักนิดนะคะ รอคุณอาอยู่ตรงนี้นะ” เขาย่อลงไปนั่งคุยกับเด็กหญิงที่ดวงหน้ายังไม่เหือดแห้งจากคราบน้ำตาแห่งความสะเทือนใจ เขาใช้นิ้วโป้งเช็ดให้อย่างลวกๆ แล้วเดินตามคุณหมอไปในห้องที่มีสองสามีภรรยา นอนหายในระรินอยู่ในนั้น เขาควรจะเข้มแข็งเป็นเสาหลักให้กับคนเจ็บทั้งสอง ด้วยคุณอาทิตย์เป็นเพื่อนรุ่นพี่สนิทกัน คบหากันมานาน ดังนั้นเมื่อมองไม่เห็นใคร อาทิตย์ซึ่งมีอายุห่างกับเขาสิบเอ็ดปี จึงไหว้วานให้ตนช่วยดูแลทายาทเพียงคนเดียว ซึ่งหากสิ้นบุพการีทั้งสองอัมพิกาย่อมไม่มีใครให้พึ่งพา เขาฟังเรื่องนี้จนน้ำตาร่วงมารอบหนึ่งแล้ว การก้าวเข้าไปในห้องผู้ป่วยโคม่าแบบนี้ก็อยากได้ฟังข่าวดีบ้าง
“ว่าไงครับคุณหมอ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เอ่ยถามคุณหมอด้วยน้ำเสียงนุ่ม บ่งบอกความเป็นผู้ใหญ่ใจดี เขาแสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเห็นหน้าคุณหมอตรงหน้า แม้รู้อยู่แล้วว่าหน้าตาหมอส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้ นิ่ง ขรึม และเป็นปริศนาทุกอย่าง กดดันญาติคนป่วยอย่างถึงที่สุด
“เวลาของคุณอาทิตย์ และคุณเกสร เหลืออีกไม่มาก ชีพจรเต้นช้า หัวใจเต้นเบามาก ตอนนี้ทั้งสองอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ถ้าเมื่อไหร่ที่ญาติทำใจได้แล้ว บอกหมอนะครับ”
“หมายความว่าโอกาสรอดไม่มีเลยหรือหมอ”
“อวัยวะทุกส่วนล้มเหลวหมดแล้วครับ”
“พระเจ้า!!!” ดรัณ ก้องกิดากร อุทานออกมาอย่างหมดแรง เขาไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน นาทีแรกที่เขาได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล แจ้งเหตุการณ์เกิดอุบัติเหตุ เขาก็ไม่คิดว่าทั้งพี่อาทิตย์ และพี่เกสร จะอาการหนักขนาดนี้ หากแต่เมื่อดูสภาพจริงๆ ทั้งสองแทบไม่เหลือเค้าเดิม เลือดอาบร่างแดงฉานไปทั่ว ตอนที่เขาตามมาโรงพยาบาล
เขาได้รับการสั่งเสียจากอาทิตย์ ก่อนที่ร่างอันชุ่มด้วยเลือดจะถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน “ฝากลูกสาวผมด้วย เธอไม่มีใคร ได้โปรดดูแลลูกผมด้วย” จากนั้นร่างของอาทิตย์จึงถูกพาหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินร่วมหนึ่งวัน กระทั่งเย็นอีกวัน เขาตั้งใจไม่แจ้งข่าวต่ออัมพิกา เพราะเกรงเด็กจะไม่มีสมาธิในการเรียน จึงแวะไปดูและพาไปส่งโรงเรียน กระทั่งต้องค่อยๆ บอกเด็กว่าพ่อกับแม่ของเด็กน้อยป่วย แล้วจึงพามาเยี่ยมที่โรงพยาบาล
ขนาดนั้นอัมพิกา ก็ร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ เขาเป็นผู้ชายที่ไม่เคยมีน้องสาว ไม่เคยเลี้ยงน้องผู้หญิง ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ดราม่าแบบนี้
“ผม...ผมไม่รู้จะทำยังไง” ร่างสูงใหญ่ที่เคยแข็งแรง เซไปด้านหลังเล็กน้อยขนาดเขาต้องจับปลายเตียงคนเจ็บเอาไว้ เพื่อพยุงกายไม่ให้ทรุดทั้งยืน นี่ขนาดเขาเป็นแค่เพื่อนคนเจ็บ ไม่ใช่ทายาท ไม่ใช่ญาติโดยตรง เขายังสติแตกขนาดนี้ แล้วเด็กคนหนึ่งซึ่งต้องสูญเสียพ่อแม่ ไปในเวลาเดียวกันจะรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนโลกจะแตกหรือเปล่า
“ตอนนี้มีคุณคนเดียวที่จะตัดสินใจได้ เพราะคุณคือญาติเพียงคนเดียว ลูกสาวคุณอาทิตย์เด็กเกินไป ในการตัดสินใจเรื่องนี้ ตัดสินใจนะครับ หมอขอตัวก่อน” ว่าแล้วหมอวายุก้าวจากไป ทิ้งการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ไว้กับเขา หากเขายังยื้อจะใช้เครื่องช่วยหายใจ พี่อาทิตย์กับพี่เกสรจะอยู่ได้อีกกี่ชั่วโมง ชายหนุ่มยืนมองทั้งสองจนแทบจะหยัดยืนไม่อยู่
12 ปีล่วงมาแล้วสินะที่ความรู้สึกทรมานนั้นได้ผ่านไป ดรัณยืนรออัมพิกาอยู่เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับหญิงสาว ที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ แล้ว ๑๒ ปีอีกนั่นแหละที่เขาได้ทำหน้าที่ผู้ปกครองให้กับอัมพิกา กระทั่งศึกษาจบระดับมหาวิทยาลัย
หญิงสาวน่าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ถอดพิมพ์ความน่ารัก ความสวย มาจากเกสร ในชุดครุยรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยของรัฐ วิ่งตรงมาหาผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ใจดีของเธอ ด้วยอาการเบิกบาน เพราะเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิต