บทที่ 3
รถยนต์คันดังกล่าวแล่นอยู่บนถนนสายหลักของเมืองนิวยอร์ก ภายนอกรถคึกคักไปด้วยรถนานาชนิดที่วิ่งกันขวักไขว่ แสงสีในยามค่ำคืนประดับไปทั่วท้องถนน และตามอาคาร ผู้คนทั้งในและนอกประเทศต่างพากันมาเดินชมความสวยงาม บ้างก็มาหาผับบาร์บันเทิงอารมณ์ยามค่ำคืน บรรยากาศแสนอภิรมย์ยิ่งนัก
แต่ทว่าภายในรถยนต์ของโจนาธานมีแต่ความอึดอัดและความเงียบ เนื่องจากคนที่เจ้าของรถมารับเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ดวงตาของเธอเสมองไปนอกกระจกรถยนต์ ไม่หันมามองคนที่เธอคิดถึงและเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันนี้เร็วๆ วันที่ตนเองจะได้พบกับผู้ปกครองหนุ่มรูปหล่อ
“กุ๊กโกรธคุณอาเรื่องอะไรคะ” โจนาธานถามสาวข้างกายที่ทำราวกับว่า เขาไม่ได้นั่งรถอยู่ด้วย “อย่าโกรธคุณอาเลยนะ คุณอาขอโทษ”
“...” คำตอบของเขาคือความเงียบ และนั่นยิ่งสร้างความอึดอัดให้กับโจนาธานมากขึ้น เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ไม่คิดด้วยว่าตนเองจะใจเย็นได้มากขนาดนี้ หากสาวแสนงอนเป็นคนอื่น ไม่ใช่หลานสาวนอกสายเลือดแสนสวย ป่านนี้เขาคงอัญเชิญเธอลงไปจากรถแล้ว
“คุณอาขอโทษ คุณอาไม่ได้ลืมกุ๊กนะคะ คุณอาแค่...แค่”
เขาหาคำแก้ตัวไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง เขาลืมเสียสนิท คนงอนหันมามองหน้าผู้พูดเพียงนิด ก่อนจะหันหน้าไปยังทิศทางเดิม
“มันก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณอาจะลืมกุ๊ก กุ๊กมันก็แค่เด็กในอุปการะไม่ได้สำคัญอะไรที่คุณอาต้องมานั่งจดนั่งจำ กุ๊กต้องขอโทษคุณอาด้วยนะคะที่ทำให้คุณอาเสียเวลา”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจดังผ่านปากของณัฏฐลักษณ์ เสียงนั้นช่างสั่นเครือเหมือนอารมณ์ของผู้พูด ความน้อยใจเสียใจปะปนเต็มทรวง คนที่ฟังรู้สึกคล้ายกับมีหนามทิ่มตำใจ รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยที่ทำให้เธอเสียใจ
“น้องกุ๊ก คุณอาไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะ คุณอาเห็นน้องกุ๊กสำคัญเสมอ สำคัญกว่าทุกคนด้วย” เขาพยายามหาข้อแก้ตัว แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลง
“สำคัญกว่าทุกคน” เธอทวนประโยคบาดหัวใจ “สำคัญกว่าทุกคน แต่คุณอาก็ลืมวันเวลาที่คนสำคัญคนนี้จะมาหาคุณอา อย่างนี้เขาเรียกกันว่าคนสำคัญหรือคะ”
โจนาธานอยากจะเอาหัวโหม่งเบาะเสียให้ได้ ไม่ว่าเขาจะพูดหรือแก้ตัวอะไร มันจะเข้าตัวเขาเสมอ ยิ่งแก้ตัวยิ่งไปกันใหญ่ เขาจึงเลือกที่จะเงียบและมองซีกหน้าของเธอไปตลอดทาง แล้วค่อยทางวิธีง้อหลานสาวคนสวยภายหลัง
ตอนสายวันรุ่งขึ้น
ไซลัส โรเจอร์และบิลลี่ ยืนมองโจนาธาน เจ้านายหนุ่มนั่งบีบเครื่องเป่าลมใส่ลูกโป่งหลากสีอย่างแข็งขันและตั้งใจ โดยไม่ให้พวกเขาทั้งสามช่วยเหลือนอกจากจัดเตรียมหาของที่ต้องการให้เท่านั้น ทั้งสามมีความรู้สึกตรงกันว่า ณัฏฐลักษณ์สาวไทยคนนี้คงมีความสำคัญกับเจ้านายของตนไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่นั่งหลังขดหลังแข็งทำในสิ่งที่ไม่เคยทำเช่นนี้แน่นอน
“ไซลัส ดอกไม้ที่ฉันสั่งได้หรือยัง” โจนาธานเงยหน้าถามไซลัสที่ยืนอยู่ริมโซฟา
“อีกสิบนาทีเขาจะมาส่งครับคุณจอน”
ระหว่างที่ลูกน้องตอบ โจนาธานก็ลุกขึ้นนำลูกโป่งที่เขาเป่าลมจนพองขยายใหญ่ไปประดับไว้ในห้องรับแขกตามจุดต่างๆ จนทั้งห้องดังกล่าวมีลูกโป่งหลากสีประดับนับร้อยลูก แต่ละลูกเขายังวาดรอยยิ้มลงไปด้วย พร้อมกับเขียนคำว่า “ขอโทษ” เป็นภาษาไทย ที่เขาโทรศัพท์ไปหาเพื่อนกลางดึก ขอร้องให้ภรรยาของเพื่อนที่เป็นคนไทย ช่วยเขียนคำว่า ขอโทษเป็นภาษาไทยส่งมาทางแฟกซ์ให้กับเขา จากนั้นก็เขียนคำนี้ลงไปในลูกโป่งทุกใบ แม้ว่าตัวจะไม่สวยแต่ก็พออ่านออก
โจนาธานใช้เวลาคิดแผนการง้อสาวน้อยแสนงอนอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมง พอคิดออกเขาก็ดำเนินการตามแผนทันที สั่งลูกน้องให้ไปหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่เขาต้องการ แล้วตั้งใจทำทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองว่า หลานสาวต่างสายเลือดของตนจะชอบและหายโกรธ
อีกสิบนาทีต่อมาดอกไม้ที่โจนาธานสั่งก็ถูกนำมาส่ง เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของเนลลี่สาวใช้เดินแกมวิ่งลงมาจากบันได
“คุณจอนคะ คุณกุ๊กออกมาจากห้องแล้วค่ะ” เนลลี่ที่ถูกสั่งให้คอยจับตาดูว่า หากณัฏฐลักษณ์ออกมาจากห้องเมื่อไหร่ ให้ลงมาบอกเขาทันที
“ขอบใจมาก” โจนาธานกล่าวขอบใจสาวใช้ ก่อนที่เท้าใหญ่จะพาร่างของเขาไปยืนอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ในมือถือดอกกุหลาบสีขาวช่อโต