ตอนที่ 5 : บ้าไปเสียแล้ว 1/2
ตอนที่
[3]
บ้าไปเสียแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นฉีจื่อหรานก็ถูกบ่าวจากเรือนใหญ่ถูกตามตัวให้ไปพบ
สองขาเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางชมธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย บ่าวผู้นั้นถึงกับไม่พอใจที่หญิงสาวทำท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ พลางดูถูกในการแต่งกายของฉีจื่อหราน งดงามเสียเปล่าหากแต่แต่งตัวซอมซ่อยิ่งกว่าบ่าวในจวนเช่นตนเสียอีก
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นห้องโถงหลักจนได้
ฉีจื่อหรานใช้สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น
แหมอยู่กันครบเลยนะ ทีเมื่อเช้าล่ะหายกันไปหมด
“ฉีจื่อหรานเจ้าได้ทำความผิดอันใดไว้หรือไม่!” เสียงของบิดาที่ไม่ได้เอ่ยเรียกนางมาเนิ่นนานดังขึ้น ทั้งยังเรียกแบบเต็มยศเสียด้วย
ดูท่าจะไม่พอใจ
“หืม มีอันใดหรือเจ้าคะ” กล่าวแล้วปั้นสีหน้าไร้เดียงสาก่อนจะหันไปมองเหล่าคนครัวด้วยความตกใจ เหล่าคนครัวยามนี้ล้วนแต่มีใบหน้าปูดบวม นางเกือบจะขำออกมา หากแต่ต้องรักษากิริยาเอาไว้
“นี่เกิดอะไรขึ้นเหตุใดใบหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น”
“เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง หากไม่มีผู้ใดทำ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ครานี้ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
“ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะท่านแม่”
“หึ น้องหกวันสองวันมานี้เจ้าเอาแต่ทำตัวแปลก ๆ หากวันนี้จะบอกว่าเจ้าถึงขั้นไปตบตีบ่าวไพร่ในจวนก็ไม่น่าจะแปลกใจอันใด” เสียงนี้คือเสียงของพี่สามนามฉีเยว่ซิน
“พี่สาม ยิ่งพูดข้ายิ่งไม่เข้าใจ ข้าไปตบตีผู้ใดกัน”
“มีบ่าวจากโรงครัวมารายงานว่าเจ้าเข้าไปทำร้ายผู้คน โดยเฉพาะหัวหน้าแม่ครัว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ฉีหวังเอ่ยเสียงดุขรึมออกมาทั้งส่งสายตากดดันไปที่บุตรสาวที่ตนไม่ชอบหน้า ฉีจื่อหรานจึงสบตาเขาก่อนจะหันไปมองมารดาและพี่น้องคนอื่น ๆ ทุกคนล้วนแต่อยากให้นางเป็นผู้กระทำผิดด้วยกันทั้งนั้น หากเป็นบ้านอื่นบ่าวหรือจะสำคัญเท่ากับผู้เป็นนาย โดยเฉพาะบ่าวที่ไม่เคารพนาย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาม ข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ไหนเลยจะมีพละกำลังไปทำเช่นนั้นกับหัวหน้าแม่ครัวสุ่น พวกท่านดูรูปร่างข้ากับนางเถิด” แม้ไม่อยากจะเข้าข้างฉีจื่อหราน แต่พวกเขาก็เห็นว่าฉีจื่อหรานและหัวหน้าแม่ครัวนั้นแตกต่างกันจริง ๆ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหัวหน้าแม่ครัวนั้น แม้แต่บุรุษยังต้องหวาดกลัว เช่นนั้นนางจะสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในโรงครัวของตระกูลฉีมาได้อย่างยาวนานหรือ
และนอกจากหัวหน้าแม่ครัว ยังมีคนครัวอีกตั้งหลายคน ข้าจะไปเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งกล่าวมาถึงตอนนี้หากเกิดการต่อสู้กันจริงมาถึงตอนนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธว่าสิ่งที่ฉีจื่อหรานกล่าวนั้นเข้าเค้า
ฉีจื่อหรานอาศัยอยู่แต่ในเรือน ไหนเลยจะได้รู้จักกับการฝึกวรยุทธ์ เพราะหากทำเช่นนั้นกับคนหลายคนได้ด้วยตัวคนเดียวจะต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าเลยทีเดียว ไม่ต้องไปพูดถึงวรยุทธ์ แค่โลกภายนอกนอกจวนตระกูลฉี นางก็ไม่ได้ไปประสบพบเจอแต่อย่างใด แต่ในใจก็ยังอยากที่จะให้ฉี่จื่อหรานเป็นฝ่ายผิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
“แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร มีบ่าวมารายงานว่าเจ้ากำลังทำร้ายแม่ครัวใหญ่ นางเห็นกับตาและเมื่อพวกข้าตามไป ก็พบว่าพวกเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”
“เช่นนั้น ท่านพ่อก็ลองถามพวกเขาดูอีกครั้งสิเจ้าคะ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร”
กล่าวแล้วก็สาดสายตาไปที่หัวหน้าแม่ครัวและคนครัวคนอื่น ๆ เดิมทีพวกเขาคิดจะเล่าความจริงทั้งหมด แต่เมื่อได้เห็นสายตาอันตรายของฉีจื่อหรานและท่าทางของนางก่อนที่จะจากไป ความกล้าที่มีก็หดหายไป
“นายท่าน พวกเราล้วนแต่มีเรื่องผิดใจกันในโรงครัวจึงได้ลงไม้ลงมือกัน หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับคุณหนูหกเจ้าค่ะ ส่วนที่ลี่หงไปรายงานนายท่านและฮูหยินนั้นเห็นทีว่านางจะเข้าใจผิดเจ้าค่ะ”
ลี่หงเบิกตากว้างขึ้น แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ได้แต่ก้มหน้าลง หัวหน้าแม่ครัวถึงขั้นกล่าวเช่นนี้เห็นท่าว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับคุณหนูหกจริง ๆ
“ลี่หงเจ้าเข้าใจผิดจริงหรือ” ฉีฮูหยินเอ่ยเสียงเข้มแฝงความกดดันไปที่บ่าวนามลี่หง
“ฮะ ฮูหยิน บะบ่าว น่าจะเข้าใจผิดเจ้าค่ะ บ่าวเห็นคุณหนูหกไปที่ระ โรงครัว” ลี่หงกล่าวตะกุกตะกักไม่กล้าสบสายตาผู้ใด
“แล้วเจ้าได้ไปที่โรงครัวหรือไม่” ครานี้เสิ่นเจียงหันไปถามบุตรสาว
“ไปเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใด”
“ข้าเพียงหิวข้าว วันนี้ที่โต๊ะอาหารไม่มีอาหารสักจานก็เลยไปสอบถามกับโรงครัวเจ้าค่ะ เมื่อเห็นว่าไม่มีจึงได้กลับเรือนไป” กล่าวแล้วก็ก้มใบหน้าลง
เหล่าคุณหนูตระกูลฉีล้วนแต่รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ เช่นเดียวกับกับผู้เป็นบิดามารดา
“เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ในที่สุดฉีหวังก็กัดฟันกล่าวออกมา นอกจากนั้นยังกล่าวอีกว่า
“แต่ว่านะจื่อหราน เจ้าเคยกินข้าวที่ใด ต่อไปก็กินที่นั่น อย่าได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย” กล่าวคืออย่าได้มากินข้าวที่เรือนใหญ่อีก
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว” ร่างบางก้มศีรษะรับคำก่อนจะขอตัวออกไป ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ถึงสายตามากมายที่สาดมาที่แผ่นหลังของนาง
หึ ไม่ให้กินข้าว แต่ก็มีอย่างอื่นให้ทำอีกตั้งมาก นี่ไม่ใช่จุดจบอันใด