ตอนที่ 3 : ตระกูลฉี 1/2
ตอนที่
[2]
ตระกูลฉี
ในค่ำคืนนั้นพี่น้องตระกูลฉีต่างพูดคุยกันว่าเหตุใดฉีจื่อหรานจึงทำเช่นนี้ เหตุใดคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นมาเกือบสิบปี กินข้าวก็กินที่เรือนตนเองจึงได้ลุกมาร่วมกินข้าวที่เรือนใหญ่เช่นนี้ แต่คิดไปแล้วก็ไร้คำตอบ ได้แต่รอดูท่าทีของอีกฝ่ายอีกสักนิด สุดท้ายจึงได้แยกย้ายกันไปเช่นนั้น
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อในยามเช้าก็พบว่าฉีจื่อหรานกำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เมื่อผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ชะงักก่อนจะพากันเดินสะบัดหน้าหนีไปเฉกเช่นเมื่อวาน หากแต่ฉีจื่อหรานกลับคล้ายไม่กระทบกระเทือนอันใด นางยังคงกินอาหารที่เรือนใหญ่ด้วยความเอร็ดอร่อย อีกทั้งตลอดมื้ออาหารทั้งสามมื้อนางก็มากินที่เรือนใหญ่ทั้งสามมื้อไม่ขาดแม้แต่มื้อเดียว จนในเช้าวันต่อมาบนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีผู้ใดมาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งอาหารก็ไม่มีเช่นกัน เห็นทีคงจะสุดทนกับนางแล้วกระมังแม้แต่กินอาหารร่วมกันก็ไม่อาจทำได้
แต่นางก็ยังคงเป็นนายผู้หนึ่งของจวนนี้มิใช่หรือ เหตุใดถึงผู้อื่นไม่มาแล้วอาหารในส่วนของนางก็ไม่มาเช่นกัน แม้นางจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะสร้างความปั่นป่วนให้กับจวนนี้เสียหน่อย
“อ้ายมี่ เราไปโรงครัวกันเถิด” อ้ายมี่ไม่มีคำถามใด ๆ ไม่ว่าคุณหนูของตนจะอยากทำสิ่งใด ตนก็จะคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่
เหล่าพี่น้องคนอื่น ๆ ของฉีจื่อหรานกำลังรวมตัวกันที่ห้องของฉีเยว่อินพี่รองที่ยามนี้ถือว่าเป็นพี่คนโตสุดของบ้าน
“พวกเราทำเช่นนี้ต่อไปน้องหกคงไม่กล้ามากินข้าวที่เรือนใหญ่แล้วกระมัง” ฉีเยว่อินเปิดประเด็น
“น้องหกไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน วันนี้โดนหักหน้าคงไม่กล้ามาแล้วล่ะ มาก็ไม่มีผู้ใดสนใจ” ฉีเยว่ชิงว่าพลางเชิดหน้า
“แต่หากน้องหกยังมาบ่อย ๆ พวกท่านจะหันไปสนใจนางมากขึ้นหรือไม่” ครานี้เป็นฉีเยว่เผิงที่กล่าวขึ้นดวงตาเต็มไปด้วยประกายเศร้าสร้อย
“โถ่น้องห้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะเป็นน้องเล็กสำหรับพวกเราเสมอ ฉีจื่อหรานไม่นับเป็นอันใดสำหรับพวกเรา” ฉีเยว่ซินรีบเอ่ยปลอบโยนน้องสาว ก่อนที่พี่ ๆ คนอื่นจะเข้ามารุมกอดน้องสาวคนเล็กของตนเอาไว้
ฉีเยว่เผิงมีประกายสาสมใจ นั่นสิ ฉีจื่อหรานจะนับเป็นอะไรได้
ที่โรงครัวเหล่าพ่อครัวแม่ครัวต่างก็จัดเตรียมอาหารเพื่อที่จะให้บ่าวของแต่ละเรือนนำไปให้เจ้านายของตน พวกเขาต่างเพิ่มความไม่พอใจไปให้ฉีจื่อหรานที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องวุ่นวายมากขึ้นในเช้าวันนี้
แต่แล้วตัวต้นเหตุก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า….
คราแรกตกใจแต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ
“คุณหนูหกมาทำอันใดที่นี่เจ้าคะ” เป็นสุ่นเย้าสตรีวัยกลางคนรูปร่างท้วม ที่เป็นหัวหน้าแม่ครัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคุกรุ่นนอกจากน้ำเสียงแล้ว สีหน้าท่าทางก็ไม่ต่างกัน
“ข้าหิวน่ะ แต่บนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีอาหารเลย ข้าเลยต้องมาที่นี่” น้ำเสียงอันไม่ทุกข์ร้อนของฉีจื่อหรานตอบกลับทันทีและไม่สนใจต่อท่าทีกระด้างกระเดื่องของหัวหน้าแม่ครัวเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าคำตอบของนางนั้นกลับทำให้สุ่นเย้าและคนอื่นส่งสีหน้าดูแคลนออกมา
“มิใช่ว่าคุณหนูหกทำอาหารกินเองมาเป็นหลายปีหรือเจ้าคะ เหตุใดวันนี้จึงต้องการกินอาหารของโรงครัวของจวนไปเสียได้”
“ข้าทำอาหารกินเองมาจนเบื่อ ยามนี้อยากกินอาหารของเรือนใหญ่บ้างจะไม่ได้หรือ”
“คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะอาหารแต่ละมื้อถูกจัดเตรียมให้ครบกับเจ้านายทุกคนในจวนนี้แล้ว” สุ่นเย้ากล่าวเน้นคำว่าเจ้านายเป็นพิเศษกล่าวคือฉีจื่อหรานไม่นับรวมกับเจ้านายคนอื่น จึงไม่มีอาหารในส่วนของนาง
“แล้วหากข้าอยากกินเล่า” สีหน้าของฉีจื่อหรานยังคงมีแววทะเล้น
“เห็นทีคุณหนูต้องกลับไปกินอาหารที่เรือนตนเองเช่นเดิมแล้วเจ้าค่ะ เพราะข้าบอกว่าไม่มีคือไม่มี”
ทันใดนั้นฉีจื่อหรานก็หันไปเห็นถาดอาหารที่บ่าวผู้หนึ่งกำลังจะยกไปยังทิศทางหนึ่ง นางจึงได้รีบเดินไปดักหน้าบ่าวผู้นั้น ก่อนจะใช้มือหยิบอาหารขึ้นมากิน
!!!
“นี่…” บ่าวที่ยกถาดอาหารอยู่ตกใจไม่น้อย หากแต่สุ่นเย้ากลับรีบเดินมาอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็นถาดอาหารของคุณหนูสาม มิใช่ของท่าน ท่านไม่มีสิทธิ์กินมัน!!” น้ำเสียงเดือดดาลตวาดลั่น ดวงตาแข็งกร้าวใช้มองไปยังสตรีที่มักจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเรือนด้วยความไม่พอใจ ฉีจื่อหรานไม่เคยมีตัวตนในจวนแห่งนี้ ดังนั้นบ่าวคนอื่น ๆ จึงไม่ได้คิดจะเคารพอันใดนาง เพราะแม้แต่พ่อแม่พี่น้องยังไม่แม้แต่จะสนใจนางเช่นกัน
ด้านฉีจื่อหรานไม่ได้ตกใจในเสียงตวาดลั่นและสายตาที่ไม่พอใจนั่นแต่อย่างใด นางหยิบองุ่นลูกสีเขียวลูกใหญ่ขึ้นมากินก่อนจะหันไปมองสุ่นเย้าช้า ๆ
รอยยิ้มเย็นเยียบที่ปรากฏขึ้น จู่ ๆ ก็ทำให้สุ่นเย้ารู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
หลังเคี้ยวองุ่นและกลืนลงไปจนหมดแล้ว หญิงสาวก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาหัวหน้าแม่ครัวช้า ๆ ไม่เร่งร้อนใด ๆ เมื่อเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วจึงได้ยกยิ้มขึ้น ก่อนที่มือจะคว้าหมับเข้าที่ผมของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง
!!!
“ข้าอยากกิน ข้าก็กิน เจ้ามีปัญหานักหรือ” กล่าวจบก็ลากอีกฝ่ายเข้าไปยังจุดหนึ่งในโรงครัวทันที เหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่เบิกตากว้างขึ้น