ตอนที่ 2 : ตระกูลฉี 1/1
ตอนที่
[2]
ตระกูลฉี
สมาชิกทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มาใหม่นี้จะเป็นคนที่พวกเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าในจวนตระกูลฉีมีคนผู้นี้อยู่
จะว่าลืมก็มิใช่แต่พวกเขาไม่ได้สนใจมากกว่า
“เหตุใดเพียงแค่พบข้าจะต้องตกใจกันถึงเพียงนั้นเจ้าคะ” และดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ทุกคนต่างคิดเช่นเดียวกัน
ฉีจื่อหรานยกยิ้มขึ้นพลางมองไปที่สมาชิกของตระกูลฉีแต่ละคนที่กำลังแสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ยามนี้บนโต๊ะอาหารมีคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ทั้งหมดหกคนประกอบด้วย ฉีหวัง บิดาผู้เป็นขุนนางกรมราชวงศ์ เสิ่นเจียงหรือฉีฮูหยินผู้เป็นมารดา ถัดมาจากมารดานั้นคือฉีเยว่อิน พี่รองของนาง ถัดมานั้นคือพี่สาม ฉีเยว่ชิง ตรงข้ามกันกับพี่สามนั้นคือพี่สี่นามฉีเยว่ซิน ถัดจากพี่สี่คือพี่ห้า ฉีเยว่เผิง เดิมทีบนโต๊ะควรจะมีพี่ใหญ่นามฉีเยว่สืออยู่ด้วย หากแต่นางออกเรือนไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้จึงเหลือสมาชิกทั้งหมดหกคน จะเห็นได้ว่าชื่อพวกนางล้วนแต่คล้ายกันทั้งหมด มีก็เพียงแต่นาง ที่ไม่เหมือนผู้ใด มีใช่เพราะว่าพิเศษ แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจ ไม่สิ อาจจะเพราะเกลียดชังด้วยกระมังจึงไม่อยากให้นางเหมือนผู้ใดในครอบครัวนี้
“น้องหกเหตุใดจึงได้มาที่นี่เล่า” ผู้ที่ตั้งสติและทักนางขึ้นเป็นคนแรกคือพี่ห้านาม ฉีเยว่เผิง น้ำเสียงนั้นสังเกตได้ว่ามีความหวาดหวั่นสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งนางเดาได้ว่าคือเรื่องใด
ฉีเยว่เผิงกลัวว่านางจะมาสั่นคลอนตำแหน่งบุตรสาวคนเล็กกระมัง
“แล้วเหตุใดข้าจะมาที่เรือนนี้ไม่ได้เจ้าคะ ในเมื่อข้าก็เป็นบุตรสาวของจวนนี้เช่นกัน” กล่าวแล้วแย้มยิ้มสดใสราวกับแสงตะวันเจิดจ้าในยามเช้า
“นี่เจ้า….” ฉีเยว่เผิงกล่าวไม่ออกไปชั่วครู่ กับท่าทางที่เปลี่ยนไปของน้องสาว หากแต่ผู้เป็นบิดานั้นใบหน้ากลับเริ่มบึ้งตึงขึ้น ในยามนี้ทุกคนเริ่มตั้งสติได้แล้ว ฉีหวังไม่แม้แต่จะมองหน้าบุตรสาวคนที่หกของตน เขาหันไปมองฮูหยินที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าไม่หิว ขอตัวไปทำงานก่อน” แต่ทว่าทิศทางที่เขาเดินออกไปกลับไม่ใช่ห้องหนังสืออันเป็นที่ทำงานแต่เป็นเรือนของอนุผู้หนึ่งนั่นทำให้ฉีฮูหยินกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อที่ยาวออกมา ก่อนจะตวัดสายตามองไปที่บุตรสาวคนที่หกด้วยความไม่พอใจ
“วันนี้ข้าก็ไม่หิว พวกเจ้ากินกันไปเถิด” ฉีฮูหยินหันไปบอกบุตรสาวคนอื่น ๆ ก่อนที่จะส่งสายตาไม่พอใจไปให้บุตรสาวคนเล็กอีกคราก่อนสะบัดหน้าเดินหนีไปด้วยความรวดเร็ว กิริยานั้นไม่ได้ทำให้ฉีจื่อหรานรู้สึกเสียใจแต่อย่างใดหากแต่นางกลับแย้มยิ้มและค้อมศีรษะลงก่อนจะส่งเสียงใสออกไป “ท่านแม่เดินระวังด้วยนะเจ้าคะ” เสียงนี้ทำให้เสิ่นเจียงรีบเร่งฝีเท้าออกไปเร็วกว่าเดิม
ฉีจื่อหรานเมื่อเห็นว่ามารดาเดินจากไปแล้ว จึงได้หันกลับมามองพี่น้องที่เหลืออยู่ก่อนจะหันไปมองว่าไม่มีเก้าอี้ในส่วนของนาง ก็แน่ล่ะ มันไม่เคยมีอยู่แล้ว หากแต่ที่นั่งของบิดามารดายังว่างเพราะทั้งคู่เมื่อลุกออกไปคิดได้ดังนั้น สองเท้าเล็กจึงได้เดินไปนั่งที่เดิมของบิดา เรื่องนี้ทำให้พี่น้องคนอื่นเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ
“น้องหกนี่เจ้าทำอันใด!” เสียงนี้เป็นเสียงของพี่รอง ฉีเยว่อิน กล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“พี่รอง ข้าหิวมากแล้ว พวกท่านไม่หิวหรือ เหตุใดจึงนั่งนิ่ง เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” กล่าวแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นแล้วคีบขาหมูตุ๋นน้ำแดงเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างไม่รักษากิริยาใด ๆ ผู้ใดจะห้ามปรามก็คงไม่ทัน หญิงสาวหันมายิ้มแย้มให้กับผู้อื่นก่อนจะคีบจานอื่น ๆ ต่อไป ยังคงเป็นฉีเยว่อินที่ทนไม่ได้ สะบัดหน้าหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนใคร จากนั้นพี่น้องคนอื่น ๆ จึงได้ทำตาม เมื่อทั้งโต๊ะเหลือเพียงฉีจื่อหรานและด้านหลังคืออ้ายมี่ ไม่นานแววตาและท่าทางที่เคยสดใสก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหยัดขึ้นเต็มความสูง
“หึ ช่างไม่ต้อนรับกันเสียจริง ๆ”