ตอนที่ 1 : ชีวิตที่เลือกไม่ได้
ตอนที่
[1]
ชีวิตที่เลือกไม่ได้
ท่ามกลางสายลมหนาวที่เริ่มคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ไม่อยากพานพบกับความเหน็บหนาวที่แสนทรมานเช่นนี้ หากแต่บนพื้นที่แสนสกปรกและเต็มไปด้วยเศษใบไม้ร่วงที่ถูกพัดพาเข้ามาจนเต็มพื้นเรือน ยังมีร่างของสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในสภาพราวกับเศษผ้าที่ใช้งานจนหมดสภาพแล้วนอนนิ่งอยู่ ร่างนั้นนอนคุดคู้งอตัวเข้าหากันไร้ผ้าห่มหนาคลุมกาย หนำซ้ำบนเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง ใบหน้านั้นไม่สามารถมองออกได้ว่าก่อนหน้านี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร
สายตาที่พร่ามัวมองไปยังจุดจุดหนึ่งด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
เขาไม่หันกลับมามองนางแม้เพียงนิด หากแต่เร่งรีบจับจูงมือของสตรีที่อยู่ด้านข้างออกจากเรือนไป
ฉีจื่อหราน นึกสมเพชในโชคชะตาตนเอง นางมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร หากจะผิดก็คงผิดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ที่นางเกิดมาเป็นบุตรสาวตระกูลฉี เป็นบุตรสาวที่ไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดสนใจ ทั้งยังผลักไสราวกับเชื้อโรคที่ต้องหลีกหนีให้ไกลที่สุด
หึ สุดท้ายชีวิตของนางก็ต้องจบลงเช่นนี้ เกิดมาเป็นคนไร้ค่า ก็ต้องตายอย่างคนไร้ค่าเช่นนั้นหรือ
หนำซ้ำ….คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นลูกในท้องของนางก็ต้องมารับกรรมตายตกทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกด้วยซ้ำ
นี่มันชีวิตบัดซบแบบใดกัน
แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ไม่อาจให้เจ้าเกิดมาใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นได้ คิดแล้วมืออันขาวซีดที่แทบจะแข็งชาเพราะความหนาวก็ลูบไปที่หน้าท้องอันแบนเรียบของตนเองที่เคยมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในนั้นด้วยความสั่นเทา
ที่บอกว่าเคยมี นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นเพียงแค่เค่อเดียว ท้องน้อย ๆ ของนางถูกผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสามีลงไม้ลงมือทุบตีอย่างหนักเพราะนางไม่ยินยอมที่จะให้เขานำเงินเก็บของนางจากไปพร้อมกับสตรีอื่น
แต่สุดท้ายนอกจากเงินเก็บจะไม่สามารถรักษาไว้ด้วย ชีวิตของลูกน้อยอายุสองเดือนก็ไม่สามารถรักษาไว้เช่นกัน และสุดท้ายแม้แต่ชีวิตของนางเองก็คงต้องสังเวยให้กับการตัดสินอันโง่เขลาและโชคชะตาอันบัดซบของตนเอง
น่าเสียดายที่เกิดมาชาตินี้นางได้พบเจอกับโลกภายนอกน้อยเหลือเกิน จึงทำให้ชีวิตของนางราวกับถูกปิดกั้น ถูกปิดตาและไร้ทางเลือกมาโดยตลอด น่าเสียดาย….
หากได้มีโอกาสอีกครั้ง…..ก็คงจะดี
คิดแล้วดวงตาอันพร่าเลือนก็ค่อย ๆ เริ่มปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มขาดห้วงขึ้นเรื่อย ๆ
‘อย่าเสียใจไปเลยนี่คือโชคชะตาของเจ้า จบชีวิตครานี้ก็เพื่อไปพานพบชีวิตใหม่ที่เจ้าสามารถเลือกทางเดินของตนเองได้อีกครั้ง’ เสียงอันอบอุ่นดังขึ้นในโสตประสาทของฉีจื่อหราน ดวงตาของนางไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเขาคือผู้ใด อีกทั้งก่อนที่นางจะจากไปเขายังพูดขึ้นอีกว่า
‘นอกจากนี้ข้ายังจะพาเจ้าไปพานพบอีกโลกหนึ่งที่จะทำให้เจ้าได้พบกับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่สามารถไปหาจากที่ใดได้อีก’
เฮือก!!
ร่างของหญิงสาวโฉมสะคราญกระเด้งกายขึ้นมาจากเตียงที่นอนอยู่กะทันหันจนทำให้สาวใช้คนสนิทได้แต่ตกใจต่อปฏิกิริยาเช่นนี้ของผู้เป็นนาย อ้ายมี่ถึงจะตกใจแต่ก็รู้สึกยินดี เพราะคุณหนูของตนจู่ ๆ ก็นอนซมไปนานกว่าสามวันไม่มีวี่แววจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด เมื่อไปแจ้งคนเรือนใหญ่ก็ราวกับว่าคำพูดของนางได้เลือนหายไปตามสายลม พวกเขาไม่ได้สนใจอันใดบอกเพียงว่าให้นอนพักผ่อนให้มาก ๆ ก็เท่านั้น
จะได้อย่างไรกัน คุณหนูของนางเป็นหนักถึงเพียงนี้ แม้จะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็ช่างรวยรินเสียเหลือเกิน ระหว่างที่อ้ายมี่กำลังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น
ฉีจื่อหรานกำลังยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นมาสำรวจดูก่อนจะหยิบคันฉ่องที่อยู่ไม่ไกลมาพิศมองรูปลักษณ์ในยามนี้ของตนเองอย่างละเอียด
เมื่อเห็นว่านางได้กลับมายังเวลาที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปแววตาที่เคยสว่างใสก็ปรากฏความบ้าคลั่งขึ้นมาสายหนึ่ง นอกจากนั้นยังหัวเราะขึ้นมาเสียงดังจนลั่นเรือน
“ฮ่า ๆ แม้แต่นรกและสวรรค์ยังเข้าข้างข้า”
ใบหน้าที่แต่เดิมมักจะเต็มไปด้วยการซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตน ยามนี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมพ่นถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจได้ออกมานอกจากเจ้าตัว
ยามนี้อ้ายมี่ยิ่งเป็นห่วงนายของตนมากขึ้น คุณหนูหลับไปนานหลายวันตื่นมาก็เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้เช่นไร
ฉีจื่อหรานหลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ที่คั่งค้างในใจและยินดีกับการกลับมาของตนเองเสร็จก็เริ่มเห็นปฏิกิริยาของสาวใช้คนสนิทว่ากำลังตกใจเพียงใด นางจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้ม
“อ้ายมี่ ขอข้ากอดที”
“…..” แต่นอกจากสาวใช้ตัวน้อยจะไม่ขยับเข้ามาหา ยังขยับกายออกไปอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย ฉีจื่อหรานส่ายหน้าก่อนจะทำการดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว
หมับ!
“คุณหนู!”
“อ้ายมี่ ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมา”
อ้ายมี่ตัวแข็งทื่อไม่เข้าใจว่าคุณหนูกล่าวถึงเรื่องใด กลับมาหรือ กลับมาจากที่ใดในเมื่อคุณหนูแทบจะไม่ได้ออกจากจวนเลยด้วยซ้ำ และเมื่อสามวันที่แล้วจู่ ๆ ก็ล้มป่วยลงและไม่ฟื้นมาเลยนับจากนั้น
ฉีจื่อหรานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด จึงได้ผละกายออกมา
“ข้าหลับไปกี่วันหรือ”
แม้จะไม่เข้าใจแต่ปากเล็ก ๆ ก็ยังตอบผู้เป็นนาย
“สามวันเจ้าค่ะ คุณหนูหลับไปสามวัน”
“เช่นนั้นอ้ายมี่ ข้าจะเล่าเรื่องที่น่าเหลือเชื่อระหว่างที่ข้าหลับไปสามวันให้เจ้าฟังดีหรือไม่ ว่าข้าไปพบเจอสิ่งใดมา” กล่าวว่าสามวันแต่แท้จริงแล้วนางไปอยู่ที่แห่งนั้น ที่ที่เป็นเหมือนโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อนานนับสิบปี ซึ่งที่นั่นทำให้นางได้สะสมความรู้และความสามารถมากมาย ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้กลับมาที่นี่ จวนตระกูลฉีที่เต็มไปด้วยความจอมปลอมแห่งนี้ ทั้งยังกลับมาในช่วงก่อนที่ชีวิตของนางจะถูกผลักดันให้ไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด และจบลงด้วยความตายที่แสนอนาถ!
นอกจากเล่าเรื่องราวโลกอนาคตที่นางไปประสบพบเจอมา นางยังจะเล่าเรื่องราวก่อนที่นางจะถูกส่งไปยังที่นั่นด้วย การถ่ายทอดเรื่องราวที่นางไปพบเจอให้กับอ้ายมี่ฟัง นางไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ เพียงแต่แค่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าที่นางทำตัวแปลกไป นั่นเพราะนางไม่ใช่ฉีจื่อหรานคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หลังฟังจบดวงตาของสาวใช้คนสนิทของฉี่จื่อหรานก็เบิกโพลง อ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอ้ายมี่นั้นเชื่อนายของตนจนหมดใจ
ตั้งแต่ที่เป็นนายบ่าวกันมานางอยู่กับคุณหนูมาตั้งแต่ที่นางอายุห้าหนาว คุณหนูก็อายุเพียงเจ็ดหนาว ไม่เคยมีสักครั้งที่คุณหนูจะมีท่าทางเช่นนี้ ความเด็ดเดี่ยว ความแข็งแกร่ง ดวงหน้าที่ไม่หวาดกลัวผู้ใดหากมิใช่คนที่ผ่านพ้นประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงมา คงไม่สามารถที่จะแสดงออกเช่นนี้ได้
“คุณหนู ต่อจากนี้ไม่ว่าจะต้องพานพบกับสิ่งใด บ่าวก็จะอยู่เคียงข้างกับคุณหนูให้นานที่สุดเจ้าค่ะ”
“เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าเล่าหรือ” ฉีจื่อหรานเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“เชื่อเจ้าค่ะ บ่าวเชื่อคุณหนู”
ในชาติที่แล้ว คุณหนูเล่าว่านางถูกโบยจนตาย เพราะถูกใส่ความว่าละเลยต่อการดูแลคุณหนูของตน ทั้งที่ความจริงแล้ว นางถูกคนชั่วนามว่าโก่วอี๋จับลากเข้าไปในเรือนเก็บฟืน ก่อนจะลงมือย่ำยีนางแล้วขังเอาไว้ ขณะเดียวกันนายของมันก็ไปลงมือกับคุณหนูของนางเช่นกัน และเรื่องราวเหล่านี้ล้วนมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ชาตินี้นางจะร่วมหัวจมท้ายกับคุณหนูเพื่อแก้แค้นทุกคนที่เกี่ยวข้องและจะไม่ให้คุณหนูของนางได้รับความอัปยศอดสูอีก
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าช่วยข้าแต่งกาย เย็นนี้ข้าจะไปกินอาหารกับครอบครัวที่รักของข้าเสียหน่อย” กล่าวแล้วรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยก็ปรากฏขึ้น หากแต่ดวงตานั้นลึกล้ำจนแม้แต่อ้ายมี่ยังไม่กล้ามองนาน
ยิ่งฝีเท้าของนางเข้าใกล้เรือนใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งได้ยินเสียงพูดคุยอย่างครึกครื้นของพวกเขาดังขึ้นมาเท่านั้น นางไม่เคยได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความครื้นเครงกลมเกลียวเช่นนี้สักครั้ง
ทั้งที่นางก็เป็นลูก เป็นหนึ่งในพี่น้องของพวกเขาเช่นกัน!
รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏขึ้นพร้อมสายตาที่ดูแคลน
“ไหน ๆ ก็มากันครบแล้ว เรามาเริ่มกินข้าวกันเถิด” สิ้นคำของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าว สมาชิกทุกคนก็หันไปหยิบจับตะเกียบของตนขึ้นมา หากแต่ยังไม่ทันได้ลงมือกินอาหารเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“จะครบได้อย่างไรเจ้าคะ ยังขาดข้าอีกคน”
“…..”