บทที่ 4 กลิ่นเหงื่อที่แฝงไปด้วยสเน่ห์
" คุณปิ่นใช่ไหม ไหนกระเป๋าคุณยกไปขึ้นรถเองนะ เร็วๆด้วย ผมจะต้องไปซื้อของในอำเภออีกหลายอย่าง อ่อ จำปากลับบ้านไปกินข้าวกินยานอนพักได้แล้วจะได้หายไวๆ "
" จ้ะ พี่เมฆ หนูไปก่อนนะคะพี่ปิ่นคนสวย "
จำปารับคำเมฆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับปิ่นและบอกลากลับบ้านไป
" ค่ะขอบใจมากนะที่มานั่งเป็นเพื่อน " หล่อนกล่าวขอบใจไปตามมารยาท
" อ้าว ไม่ได้ยินหรือไงที่พูด รีบลุกไปเอากระเป๋าขึ้นรถสิ ชักช้าอยู่ได้ นี่มันบ้านนอกนะไม่ใช่กรุงเทพ มันมืดค่ำเร็วกว่าในเมืองรู้ไว้ซะด้วย " เขาพูดขึ้นต่อหน้าจนหล่อนสะดุ้ง อีตาบ้านี่ ทำไมต้องมาพูดใกล้ฉันขนาดนี้นะ คนงานอะไรกันไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
ปิ่นมณีเริ่มชักสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันทีอย่างไม่ชอบใจ ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือดี
" นี่นายเมฆ ใช่มั้ย นายถือดียังไงมาสั่งฉัน นายต้องเป็นคนไปขนกระเป๋าขึ้นรถให้ฉันสิ มารยาทน่ะมีไหม เดี๋ยวฉันจะฟ้องคุณลุงกับพี่เมฆินทร์ว่าคนงานอย่างนายน่ะเสียมารยาทกับแขกอย่างฉัน "
ปิ่นมณียืนขึ้นเต็มความสูง ต่อหน้าชายหนุ่มที่หล่อนคิดว่าเป็นหัวหน้าคนงานของลุงเถกิง ใบหน้างามจ้องหน้าเขาเขม็งอย่างอวดดี จมูกที่เชิดขึ้นเหมือนคนดื้อรั้นนั้น มันน่าเอามือไปบีบให้หายหมั่นไส้นักในความรู้สึกของเมฆินทร์
' หึ หึ คนงานงั้นรึ โอเคถ้าหล่อนคิดว่าเราเป็นคนงาน เราก็จะปล่อยให้คิดไปแบบนั้นแหละ อย่ามาคิดว่าจะมาจิกหัวฉันใช้เสียให้ยาก ยัยคุณหนูอวดดี '
เมฆคิดในใจพลางกดยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
" ผมเป็นคนงานในสวน ไม่ใช่ขี้ข้าของคุณ ผมออกมารับคุณนี่ก็ถือว่าดีแล้วนะ ถ้าไม่ขนกระเป๋าขึ้นเองก็ไม่ต้องเอาไป จบนะ จะไปรึไม่ไป ผมจะไปรอที่รถ เสียเวลาจริง ๆ "
เมฆพูดเสียงเข้มก่อนจะหันหลังให้กับปิ่นมณีแล้วเดินลงจากเรือนไปนั่งรอในรถ ทิ้งให้หล่อนยืนตะลึงตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ถึงกรีดร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความไม่พอใจ
" กรี๊ด! ไอ้คนบ้า นายถือดียังไงมาทำกับฉันแบบนี้ ฉันจะฟ้องคุณลุงคอยดูนะ "
ปิ่นมณีโกรธจนหน้าแดงก่ำ แต่ก็จำใจเดินลงจากเรือนไปลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 3 ใบขึ้นไว้บนกระบะรถอย่างทุลักทุเล ด้วยกระเป๋าแต่ละใบใหญ่กว่าร่างบางของหล่อนทั้งนั้น แต่ร่างสูงของคนที่นั่งมองอยู่ในรถหาได้สนใจใยดีหล่อนสักนิดก็ไม่เลย เมฆนั่งมองหล่อนยกกระเป๋าด้วยรอยยิ้มสะใจที่มุมปากอย่างยียวน
" นี่แหละถึงจะเรียกว่าการเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง ยัยคุณหนู "
ปิ่นมณีนั่งหน้าตึงคอแข็งอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บนรถกระบะที่เบาะหน้าข้างคนขับ หล่อนไม่พอใจไอ้หัวหน้าคนงานหน้าหล่อที่ไม่ยอมไปยกกระเป๋าเดินทางให้ แถมยังนั่งมองอมยิ้มเหมือนเยาะเย้ยหล่อนเสียอย่างนั้น
" ไม่เมื่อยคอรึคุณ นั่งหน้าเชิดคอแข็งมาตั้งพักหนึ่งแล้ว หึหึ " เมฆินทร์แกล้งพูดเย้าแหย่หล่อนอย่างขบขัน เมื่อแอบชำเลืองมองด้วยหางตาเห็นว่าแม่คุณหนูผู้ดีตีนแดงนั่งคอแข็งหน้าเชิดมาตั้งแต่บ้านจนจะถึงตลาดก็ยังไม่ยอมเอนกายพิงเบาะให้สบายตัว
" มันก็เรื่องของฉัน นี่มันคอของฉันมันไปหนักส่วนไหนของนายรึไงฮะ " ปิ่นมณีหันใบหน้างามไปตวาดแหวใส่เมฆด้วยอารมณ์หงุดหงิดไม่ได้ดังใจ ดวงตากลมโตสุกใส หากเป็นดั่งไฟก็คงลุกไหม้ท่วมตัวของชายหนุ่มผู้นั่งขับรถอยู่ข้างๆอย่างแน่แท้
" เออมันก็จริงเนาะ อย่างนั้นก็นั่งเชิดหน้าต่อไปนะ แม่ผู้ดี เพราะมันไม่ได้หนักกบาล ผมสักหน่อย คอคุณจะเคล็ดมันก็เรื่องของคุณ เนอะ " เมฆปรายตาไปมองหญิงสาวที่นั่งตาเขียวปั๊ดอยู่ข้าง ๆ อย่างขบขันในกิริยาดื้อดึงจองหองของหล่อนนัก พวกผู้หญิงเมือกรุงก็แบบนี้สวยแต่รูปจูปไม่หอม เห็นแก่ตัวหวังแต่จะหลอกใช้คนที่ด้อยกว่าตนอย่างที่เขาประสบพบเจอมากับตัว และยังคงเจ็บจนฝังใจไม่เสื่อมคลาย
เขาเคยหลงรักพราวนภาสาวเมืองกรุงที่เคยทำงานอยู่ในที่เดียวกัน แต่เขาไม่รู้เลยว่าพราวหลอกใช้เขาเพื่อเป็นสะพานข้ามไปหาเพื่อนชายที่เป็นลูกชายเจ้าของโชว์รูมรถหรูนั่นเอง พอได้ดังใจก็เขี่ยเขาทิ้ง อ้างว่าเขาเป็นแค่เพื่อนสนิทที่แอบหลงรักหล่อน เพื่อนสนิทอย่างนั้นรึ เพื่อนที่สนิทจนถึงขั้นเคยนอนด้วยกันมีอะไรกันจนแทบนับครั้งไม่ถ้วนเนี่ยนะ
คิดมาถึงตอนนี้เมฆก็กัดกรามจนเป็นสันนูนด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวด รักมากแค่ไหนกลับกลายเป็นเกลียดมากแค่นั้น หล่อนทำให้เขาเกลียดผู้หญิงชาวกรุงแทบทุกคนจนต้องลาออกจากงานธนาคารที่กำลังไปได้ด้วยดี เพื่อกลับมาช่วยพ่อดูแลสวนทุเรียนที่กำลังไปได้ด้วยดีเช่นกัน
เขาคิดเพลินจนลืมตัวขับรถเกือบเลยร้านที่ตั้งใจจะแวะซื้อของใช้ส่วนตัว พอสายตาเหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านสะดวกซื้อก็รีบหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง กระทืบเบรคจอดอย่างกะทันหันจนตัวโก่ง ทำให้ร่างบางที่นั่งคอแข็งอยู่ข้าง ๆ กระเด็นไปโขกกับกระจกหน้ารถอย่างจังเบ้อเร่อ เพราะเธอไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย
