บทที่ 2 ส่งถึงบ้านคุณลุงเถกิง
รถเก๋งคันหรูสีขาวมุกของคุณก้องภพจอดลงหน้าบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่แสนร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่รอบบริเวณตัวบ้าน มีแปลงพืชผักสวนครัวอยู่ในบริเวณข้างรั้วเป็นแนวยาว มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจแก่คุณก้องภพกับคุณปิ่นอนงค์ยิ่งนัก
แต่ไม่ใช่สำหรับปิ่นมณีผู้เป็นบุตรสาว หล่อนมองไปรอบ ๆ ถนนหรือก็เป็นทางลูกรังอยู่เลย จะหาร้านรวงหรือก็น้อยนัก ร้านสะดวกซื้อยิ่งต้องขับรถออกไปในตัวอำเภอ ตลาดหรือก็อยู่ไกลเหลือเกิน ชาวบ้านที่นี่นิยมปลูกผักไว้รับประทานเองมากกว่า จะซื้อหาก็จำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องปรุงบางอย่างเท่านั้น ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายและพอเพียง
" บ้านนอกของแท้ ยี้ ดูสิคุณแม่ ขี้วัวตามถนนเยอะเลย "
หล่อกระซิบข้างหูแม่เบาๆเพื่อไม่ให้พ่อของเธอได้ยิน
" มันก็เป็นธรรมดาแหละลูก ชาวบ้านที่นี่เขาเลี้ยงวัวทำการเกษตรกันส่วนใหญ่ นี่ถือว่าถนนหนทางดีขึ้นมากกว่าเมื่อ10ปีที่แล้วเยอะเลยนะ "
แม่หล่อนกล่าวและมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้สึกสดชื่นที่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด ผิดกับอากาศที่เต็มไปด้วยควันพิษและฝุ่นละอองอย่างในกรุงเทพฯ
หล่อนกับแม่ยังไม่ลงจากรถเมื่อบิดาของหล่อนเดินลงไปยืดเส้นยืดสาย และทักทายเจ้าของบ้านวัยเดียวกันที่เดินลงจากเรือนมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยไมตรี
" ไงไอ้เกลอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเพื่อนรัก ดูสิผมหงอกกันไปครึ่งหัวแล้วนี่ ฮ่า ๆๆ " คุณเถกิงเข้ามากอดคอพ่อของหล่อน ทักทายพูดคุยกันด้วยความยินดี หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบจะ10 ปี
" นั่นสิ ว่าแต่แกยังดูแข็งแรงดีอยู่เลยนะนี่เถกิง เอ้าคุณอนงค์ ลูกปิ่นลงมาทักทายคุณลุงสิลูก "
ทักทายเพื่อนเสร็จ พ่อของหล่อนก็หันมาเรียกหล่อนกับแม่ไห้ลงจากรถไปทักทายเจ้าของบ้าน ด้วยใบหน้าที่แสดงความไม่ชอบใจในกิริยาของภรรยาและลูกเท่าใดนัก
" สวัสดีค่ะคุณเถกิง เป็นยังไงบ้างคะสบายดีไหม ยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะคะนี่ " คุณปิ่นอนงค์กล่าวทักทายเพื่อนสามีด้วยใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม
" สบายดีครับคุณอนงค์ ยังดูสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ เสียดายที่แม่ชบามาด่วนจากไปเสียก่อนเมื่อ4-5ปีที่แล้ว ไม่งั้นคุณคงจะได้มีคนพาไปชมผ้าไหมที่คุณชอบแล้วล่ะ อ้าวแล้วนั่นใช่หนูปิ่นหรือเปล่าน่ะ " เถกิงกล่าวทักทายแม่ของเธอก่อนจะร้องถามขึ้นเมื่อมองมาเห็นหล่อนเข้าพอดี
" แหม คุณเถกิงนี่ปากหวานเหมือนเดิมเลยนะคะ ใช่ค่ะนี่ลูกปิ่นลูกสาวคนเดียวของฉันเอง ปิ่นมานี่สิลูก ไหว้คุณลุงเถกิงซะสิ "
แม่ของเธอกวักมือเรียกเมื่อเห็นหล่อนยืนอยู่ข้างรถไม่ยอมเข้ามาเสียที ปิ่นมณีจำใจต้องเดินเข้าไปอย่างไม่สบอารมณ์ใบหน้างามงอง้ำ ยกมือเรียวงามขึ้นไหว้เพื่อนบิดาอย่างเสียไม่ได้
" สวัสดีค่ะคุณลุง "
" สวัสดีจ้ะ แหมโตเป็นสาวสวยทีเดียวนะลูก แต่คงจะอายุน้อยกว่าลูกชายลุงสินะ ใช่ไหมก้อง " ลุงเถกิงหันไปถามพ่อของเธอ
" ใช่ ๆ ลูกปิ่นอายุน้อยกว่าลูกชายแกตั้ง6ปี เห็นจะได้ "
พ่อหล่อนตอบออกไป ก่อนที่จะพากันเดินขึ้นเรือนไปยังระเบียงที่ยกพื้นขึ้น ไปนั่งพักที่ชุดเก้าอี้รับแขกเป็นโต๊ะไม้ขัดเงาจนมันวาวดูสวยงามมีเสน่ห์แบบไทยๆ
เมื่อรับประทานอาหารกันเรียบร้อย ปิ่นมณีจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เพื่อทำธุระส่วนตัว พอหล่อนเดินไปจนลับตาคุณก้องภพจึงหันมาพูดคุยกับเพื่อนถึงเรื่องของบุตรสาวอย่างเป็นกังวล
" เถกิง ฉันฝากลูกปิ่นด้วยนะแก ช่วยดูแลขัดเกลานิสัยลูกให้ฉันที เขาไม่เคยได้รับรู้ถึงความลำบากของการใช้ชีวิต ถือว่ามีเงินก็ได้แต่ใช้โดยไม่รู้ค่าของเงิน และที่สำคัญฉันอยากให้ลูกรู้จักค่าของคน หวังว่าการมาอยู่ที่นี่แกกับตาเมฆคงจะช่วยสั่งสอนยัยปิ่นให้เปลี่ยนนิสัยได้ ฝากด้วยนะเพื่อนรัก "
คุณก้องภพพูดกับเพื่อนรักด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง จนคุณเถกิงถอนลมหายใจออกมา
" ฉันจะพยายามนะ แต่คงต้องให้เจ้าเมฆเขาช่วยดูแลนั่นแหละ แต่ตอนนี้คงจะยุ่งอยู่ในสวนทุเรียน เพราะต้องคอยคุมคนงานตัดทุเรียนส่งลูกค้า เลยไม่ได้มาต้อนรับ ตาเมฆเขาปลูกเรือนอยู่ในสวนเลย ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนใหญ่นี่ บอกว่าขี้เกียจเทียวไปเทียวมาน่ะ " เถกิงกล่าวถึงบุตรชายคนเดียวด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงความภูมิใจในตัวของเมฆินทร์ยิ่งนัก
" เดี๋ยวฉันก็คงต้องกลับเลยเพราะมีงานด่วนที่กรุงเทพฯ ฝากลูกด้วยนะเถกิง " หล่อนเดินกลับเข้ามาก็พบว่า แม่หล่อนคว้าตัวเข้ามากอดเสียแน่น น้ำตาคุณอนงค์ไหลลงมาอาบแก้มด้วยความห่วงใยในตัวบุตรสาว ด้วยไม่เคยต้องห่างจากลูกรักอย่างครั้งนี้
" ลูกปิ่นของแม่ ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก 3 เดือนแป๊บเดียวเองเดี๋ยวแม่จะมารับนะ "
เธอรู้สึกใจหายเช่นกันที่ต้องห่างจากอกพ่อและแม่อย่างไม่เคยมาก่อน แต่ก็นั่นแหละหล่อนต้องอดทนให้ได้ เพื่อการไปเรียนต่อเมืองนอกกับแฟนหนุ่ม เธอต้องทำได้สิ
" ค่ะคุณแม่คุณพ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ปิ่นจะพยายามอยู่ให้ได้ค่ะ "
หล่อนกล่าวกับพ่อและแม่อย่างแน่วแน่ ทั้ง ๆ ที่เธอมองไปรอบๆ บริเวณบ้านที่ไม่ค่อยมีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนเช่นบ้านของเธอด้วยความกังวล แล้วถอนหายใจออกมาอย่างไม่แน่ใจในตัวเองเท่าไหร่นัก
