ตอนที่ 2 บ่าวคนใหม่
เด็กชายหยุดร้องแต่ก็ยังคงสะอื้นไห้อยู่บ้าง หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่เปลวและครอบครัวต้องร่ำลากัน เขายืนโบกมือให้กับทั้งสามคนพร้อมกับน้ำตา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือน
อาณาบริเวณรอบเรือนหลังนี้ใหญ่โตยิ่งนัก ไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน ผู้มาใหม่เห็นแล้วก็รู้สึกฉงนกลัวว่าจะเดินหลงทาง เขาเดินกลับเข้าไปหาคุณหญิงวาดแก้วบนเรือน คุณหญิงท่านนี้พูดจาอ่อนหวาน มีใบหน้างดงามแม้จะมีอายุแล้วก็ตามที เปลวได้แต่หวังว่าท่านจะเมตตาเด็กน้อยตาดำ ๆ คนนี้
เปลวพอจะทราบมาบ้างว่าการเป็นบ่าวต้องทำตัวอย่างไร ต้องใช้คำพูดคำจาแบบไหนถึงจะได้รับความเมตตาจากผู้เป็นนาย นั่นเพราะเพื่อนบ้านหลายคนที่เคยถูกขายไปเป็นทาส ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดและได้เล่าถึงประสบการณ์ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง เป็นปกติของชาวบ้านในละแวกนี้เมื่อบุตรหลานเติบใหญ่พอใช้งานได้ก็มักจะถูกบิดามารดานำไปขายให้กับเศรษฐีและขุนนางเสียส่วนใหญ่
“พ่อกับแม่เอ็งกลับไปแล้วรึ”
“ขอรับ” เปลวนั่งพับเพียบก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นสบตาคุณหญิง
“เงยหน้าขึ้นมา จะให้ข้าเรียกเอ็งว่าอย่างไร”
“บ่าวชื่อเปลวขอรับ”
“อายุเท่าไหร่ล่ะ”
“ตอนนี้อายุสิบแปดแล้วขอรับ”
“อ้อ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อดลลูกชายคนเล็กของข้าเลย”
“แล้วคุณดลอยู่ที่ไหนขอรับ”
“กำลังเรียนหนังสือกับอาจารย์อยู่ที่ศาลาในสวนโน่น เอาไว้ลูกข้าเรียนเสร็จแล้วจะแนะนำเอ็งให้รู้จัก”
“ขอรับคุณหญิง”
“ดูท่าทางเอ็งน่าจะว่านอนสอนง่าย อยู่ที่นี่ทำตัวให้ขยัน และที่สำคัญเอ็งต้องอดทนให้มาก ๆ เพราะหน้าที่ของเอ็งมันไม่ใช่ธรรมดารู้ไหม”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ แต่ไม่ว่างานอะไรบ่าวก็ทำได้หมด ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า ล้างชาม ทำกับข้าว ทำไร่ ทำสวน บ่าวทำได้หมดขอรับ” เปลวตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำไม่มีสะดุด ความมั่นใจบวกกับสีหน้าอันมุ่งมั่น ทำให้คุณหญิงวาดแก้วรู้สึกพอใจ และคิดว่าน่าจะรับมือกับลูกชายของหล่อนได้เป็นอย่างดี
“หน้าที่ของเอ็งก็คือดูแลรับใช้พ่อเดช”
“พ่อเดชคือใครหรือขอรับ” เปลวเอ่ยถามด้วยสีหน้าใสซื่อ เห็นแล้วคุณหญิงวาดแก้วก็หลุดขำออกมา
“พ่อเดชก็คือพระพิชิตพลเดชานั่นล่ะ ลูกข้าไปออกศึกได้รับบาดเจ็บกลับมา ไม่ค่อยชอบดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ ข้ารับบ่าวมาหลายต่อหลายคนเพื่อมาทำหน้าที่นี้ แต่ก็ทนความเจ้าอารมณ์ของพ่อเดชไม่ไหว ต้องบอกเอ็งไว้ก่อนว่าลูกข้าเป็นคนอารมณ์ร้อน พูดจาอ่อนหวานกับใครไม่เป็น เอ็งคิดว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ไหม”
“ได้สิขอรับ ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน หากมันคือคำสั่งของคุณหญิง บ่าวก็ต้องทำให้ได้”
“ดีมาก หากเอ็งทำให้อาการของพ่อเดชดีขึ้น ข้าจะมีรางวัลพิเศษมอบให้ ก่อนอื่นข้าจะพาเอ็งไปแนะนำให้พ่อเดชได้รู้จักเสียก่อน ตามข้ามา”
“ขอรับ”
เปลวเคยได้ยินกิตติศัพท์คุณพระผู้นี้มาบ้าง รู้เพียงแต่ว่าท่านเป็นขุนศึกผู้เก่งกาจหามีผู้ใดเปรียบได้ แต่เรื่องอุปนิสัยส่วนตัวนั้นหาได้รู้มาก่อน ก็เพิ่งจะได้ยินจากปากคุณหญิงเมื่อครู่ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะทนให้ได้
ออกมาจากเรือนที่พักของคุณหญิง ตามทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังเรือนอีกหลัง ซึ่งมีความใหญ่โตไม่แพ้กัน บรรยากาศรอบตัวเรือนนั้นมีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง มีสวนดอกไม้ มีสระน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานให้เดินข้ามให้อาหารปลาในสระ นี่หรือเรือนคนมีอันจะกิน ช่างแตกต่างจากกระท่อมหลังเล็ก ๆ ของตนราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
กำลังจะเดินไปถึงเรือนที่พักของบุตรชาย คุณหญิงวาดแก้วก็สวนทางกับท่านเจ้ากรมหมอยาที่เพิ่งจะตรวจอาการเสร็จพอดี หล่อนถามความคืบหน้าของการรักษา จึงได้คำตอบจากท่านหมอว่าตอนนี้แผลที่ถูกดาบฟันมากำลังสมานตัว แต่ต้องพยายามบังคับให้นอนพักผ่อนให้มาก ๆ อย่าเพิ่งขยับตัวทำกิจกรรมที่มันกระทบกระเทือนต่อบาดแผล นั่นคือสิ่งที่ยากสำหรับการรักษาตัว เพราะพระพิชิตพลเดชานั้นเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ ชายชาตินักรบอย่างเขาจะต้องหากิจกรรมอะไรทำอยู่ตลอดเวลา
คุณหญิงวาดแก้วเปิดประตูเข้าไปหาบุตรชายโดยไม่ส่งสัญญาณใด ๆ เพราะอยากจะรู้ว่าตอนนี้เจ้าของเรือนกำลังทำอะไรอยู่ในนั้นกันแน่ และสิ่งที่เห็นก็คือบุตรชายกำลังนั่งเช็ดดาบคู่ใจอยู่บนเตียง ทั้งที่หน้าท้องยังคงพันผ้าเอาไว้ แถมยังมีเลือดซึมออกมาอีกต่างหาก
“ทำไมลูกไม่นอนพักผ่อน ทำไมถึงมานั่งเช็ดดาบอยู่อย่างนี้”
“คุณหญิงแม่”
เมื่อเห็นว่าใครมาก็วางดาบลงแล้วเงยขึ้นมองมารดา คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเมื่อเห็นหนุ่มน้อยแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดูเก่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ด้านหลังด้วยอีกคน เขาเดาออกว่ามารดาคงจะรับบ่าวคนใหม่มาดูแลอีกแน่นอน แต่ละคนที่ส่งมานั้นชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้เขาทำโน่นนี่นั่น แม้จะรู้ดีว่าบ่าวเหล่านั้นรับคำสั่งมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแผลงฤทธิ์เพื่อให้ตัวเองมีพื้นที่ส่วนตัว เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับชีวิตสักเท่าไหร่