บทย่อ
ความจำเป็นทางบ้านทำให้ ‘เปลว’ ต้องถูกพ่อแม่ขายไปเป็นทาสในเรือนของ ‘พระพิชิตพลเดชา’ ขุนศึกผู้เกรียงไกร มีนิสัยเย็นชาและแข็งกระด้าง หน้าที่ของเปลวคือรับใช้คนอย่างคุณพระ แม้จะเป็นหน้าที่อันหนักหน่วงหากทว่าเขากลับไม่ยอมแพ้ให้กับความเย็นชานั่น พยายามทำทุกอย่างเพื่อลดความเย็นชาของคุณพระให้ได้ ..... “บ่าวขอตัวนะขอรับ” “จะไปไหน” “จะกลับไปเรือนนอนของบ่าวขอรับ” “ข้าบอกให้นอนอยู่ที่นี่อย่างใดเล่า อย่าออกไปเพ่นพ่านด้านนอก ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเอ็ง” “แต่...” กล่าวคำนี้จบเปลวก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเอง เพราะเมื่อครู่หลังจากพูดคำนี้จบเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ไม่อยากจะโดนอย่างนั้นอีก “เอ็งก็รู้หากดื้อกับข้าจะต้องโดนอะไรบ้าง” “แต่คุณพระก็ไม่มีสิทธิ์ทำกับบ่าวเยี่ยงนี้นะขอรับ” “ข้ามีสิทธิ์ในตัวบ่าวทุกคนในเรือนนี้ แค่นี้เอ็งคงจะรู้นะว่าต้องทำตัวเยี่ยงไร” “แล้วเหตุใดต้องเป็นบ่าวด้วยขอรับ”
ตอนที่ 1 สัญญา
บนถนนสายเล็ก ๆ ภายในย่านการค้าของเมือง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างก็เดินเลือกซื้อของกินของใช้กันอย่างหนาตา วันนี้อากาศเย็นกำลังสบาย เหมาะกับการเดินเลือกซื้อของ ทว่าภายในใจของหนุ่มน้อยนามว่า ‘เปลว’ วัยสิบแปดกะรัต กลับร้อนรนกระวนกระวาย เพราะกำลังถูกบิดาและมารดาพาไปยังเรือนของ ‘พระพิชิตพลเดชา’ ขุนนางผู้มีอันจะกินและมีหน้ามีตาในย่านนี้ ที่เพิ่งจะป่าวประกาศรับบ่าวเข้าไปทำงานเมื่อหลายวันก่อน
ครอบครัวของเปลวมีสมาชิกสี่คน นั่นคือบิดา มารดา น้องชายวัยสี่ขวบ และตัวเขาเอง เปลวเป็นเด็กหนุ่มที่มีความคิดฉลาดหลักแหลม เป็นคนร่าเริงมาตั้งแต่เด็ก ช่วยเหลือบิดามารดาทำไร่ทำสวนโดยไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ แต่ด้วยเจ้าของที่ดินซึ่งครอบครัวเช่าทำกินต้องการจะขาย ประจวบเหมาะกับเห็นประกาศรับบ่าวเข้าทำงานในเรือนพระพิชิตพลเดชา จึงอาสาเข้าไปทำงานเพื่อให้บิดามารดามีเงินก้อนในการซื้อที่ดินผืนนั้นไว้ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวมีอยู่มีกินและมีความสุข
เรือนไทยหลังใหญ่โตสร้างมาจากไม้สักทั้งหลัง มีอาณาเขตกว้างขวางสมกับฐานะขุนศึกผู้เกรียงไกร บ่าวรับใช้หลายสิบชีวิตกำลังช่วยกันทำงานบ้านงานสวนอย่างขะมักเขม้น ทั้งสี่ชีวิตยืนจ้องมองอย่างรู้สึกตื่นตา เพราะไม่เคยย่างกรายเข้ามาในเรือนใหญ่โตเช่นนี้
‘คุณหญิงวาดแก้ว’ สตรีวัยห้าสิบกะรัต ผู้เป็นนายหญิงใหญ่ของเรือนหลังนี้ และเป็นมารดาของพระพิชิตพลเดชา นั่งรอการมาเยือนของว่าที่บ่าวรับใช้คนใหม่ ข้างกันนั้นก็มี ‘อิ่ม’ บ่าวรับใช้คนสนิทนั่งคอยพัดวีให้
“มาแล้วขอรับคุณหญิง” เสียงบ่าวรับใช้ตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำเอ่ยรายงาน ก่อนจะมีแขกทั้งสี่ชีวิตเดินเข้ามาอย่างสุภาพอ่อนน้อมเจียมเนื้อเจียมตัว
“ฉันไหว้จ๊ะคุณหญิง” ชายผู้นำครอบครัวยกมือขึ้นไหว้ก่อนใคร พร้อมกันนั้นทั้งลูกและภรรยาต่างก็แสดงความเคารพต่อนายหญิงของเรือนด้วยเช่นกัน
“มากันแล้วรึ ไอ้หนุ่มคนนี้ใช่ไหมที่จะมาขายให้ข้า”
“ขอรับ”
เปลวก้มหน้าไม่กล้าสบตากับคุณหญิงวาดแก้ว แม้จะเป็นเด็กหนุ่มที่ซุกซนแต่ก็รู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย คุณหญิงวาดแก้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาใกล้ว่าที่บ่าวรับใช้คนใหม่ สั่งให้เงยหน้าขึ้นเพื่อยลโฉมให้ถนัดตา ยกยิ้มอย่างรู้สึกพอใจกับความจิ้มลิ้มของหนุ่มน้อยวัยสิบแปดคนนี้
“รูปร่างหน้าตาดีสะอาดสะอ้าน ทำงานหนักได้ไหม”
“ได้ขอรับ อยู่ที่บ้านบ่าวก็ช่วยพ่อกับแม่ทำไร่ทำสวนอยู่เป็นประจำ งานหนักเท่าไรบ่าวไม่เกี่ยงแน่นอนขอรับ”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็มาทำสัญญากันเลย”
คุณหญิงวาดแก้วทำข้อตกลงกับสามีภรรยาผู้ปกครองของเด็กหนุ่ม สัญญาที่ทำกันไว้เป็นสัญญาแบบขายฝาก นั่นหมายความว่าหากมีเงินก็สามารถมาไถ่ตัวคืนได้ โชคดีที่คุณหญิงวาดแก้วเป็นคนจิตใจดี ไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น จึงทำให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
ทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปลวก็เดินออกมาส่งครอบครัวที่หน้าเรือนอีกครั้ง แม้จะรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้กลับไปนอนบ้านตนเองเหมือนเช่นเคย แต่เขาก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง ยิ้มสู้กับความยากลำบากของชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ
“อยู่กับคุณหญิงอย่าดื้ออย่าซนนะไอ้เปลว”
“จ้ะแม่ ฉันจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงแน่นอน พ่อกับแม่ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ”
“อดทนให้มาก ๆ นะ ขอเวลาให้พ่อกับแม่ตั้งตัวได้ จะมาไถ่ตัวเอ็งกลับไปอยู่ด้วยกัน”
“จ้ะพ่อ ฉันจะรอวันที่พ่อกับแม่ตั้งตัวได้” เปลวส่งยิ้มให้กับบิดามารดา แล้วก้มลงมองดูหน้าน้องชายตัวน้อยที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา เขาและน้องชายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก สนิทสนมกันมาก พอถึงเวลาจะต้องห่างกันก็ทำให้เกิดความอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา เพราะจากนี้ไปน้องชายคงไม่มีเพื่อนเล่นอีกแล้ว
“พี่เปลวไม่กลับไปพร้อมพวกเราหรือจ๊ะ”
“พี่คงไม่ได้กลับบ้านกับเอ็งแล้ว เพราะพี่ต้องทำงานรับใช้คุณหญิงท่าน เอ็งอย่าดื้ออย่าซนล่ะไอ้ปลื้ม” เปลวคุกเข่าตรงหน้าน้องชายแล้วสวมกอดอย่างแนบแน่น ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส
“ฮือ ๆ หนูอยากให้พี่เปลวกลับไปด้วย”
“ไม่เอาไม่ร้องนะคนดีของพี่ พี่สัญญาว่าจะกลับไปเยี่ยมเอ็งแน่นอน”
“ฮึก สัญญาแล้วนะ”
“สัญญา”