ตอนที่สาม เขาแค่ต้องการให้นางบอก
ตอนที่สาม
เขาแค่ต้องการให้นางบอก
เมิ่งเข่อซิงคร่ำครวญโหยหวน แม้จะอยากดีใจที่ตนเองได้ย้อนอดีตกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แต่เพียงคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาก็จะลงทัณฑ์นางสารพัดแล้วจบด้วยการเฆี่ยนโบยจนตาย จิตใจย่อมหดหู่สิ้นไร้ความหวัง
ย้อนกลับมาแบบนี้ก็เท่ากับว่าให้นางเจ็บเจียนตายครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่ไม่ใช่การช่วยนางแล้วแต่คือการทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก
เมิ่งเข่อซิงร่ำร้องโวยวายในใจแต่ไม่อาจหนีไปที่แห่งใดด้วยแม้คุกแห่งนี้จะสร้างแยกต่างหากโดยอยู่ลึกด้านในสุดจากห้องขังอื่นแต่ยังคงเฝ้าดูแลอย่างเข้มงวด
สายตาสิ้นหวังมองกำแพงอิฐหนักทึบสีหม่นที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และยากจะทุบทำลายกับลูกกรงเหล็กสีดำที่ขัดเกลามาอย่างดี ไม่มีสนิมเขรอะและไม่ขรุขระจนบาดมือเหมือนอย่างคุกต่ำต้อยซึ่งนางสิ้นใจ
แม้ห้องนี้จะเป็นสถานที่คุมขัง แต่ทุกอย่างกลับถูกจัดวางอย่างเป็นสัดส่วนและสะอาดกว่าที่คนนอกคาดคิดด้วยได้รับการทำความสะอาดทุก2-3วัน กลิ่นภายในจึงมีเพียงกลิ่นหินเปียก ไม่มีกลิ่นคาวเลือดหรือกลิ่นอุจจาระรุนแรงอย่างเช่นคุกชั้นล่าง
พื้นห้องขังปูด้วยศิลาแผ่นใหญ่ ตรงกลางมีฟูกที่นอนกับผ้าห่มกองอยู่ ขณะพื้นมุมหนึ่งมีขันน้ำดินปั้นกับถ้วยข้าวเรียบง่ายวางเอาไว้
ด้วยช่วงแรกที่ถูกจับ นางล้วนอยู่ในห้องขังซึ่งกว้างขวางแห่งนี้ นั่นจึงทำให้เมิ่งเข่อซิงวางใจว่าพวกเขายังคงใส่ใจดูแลและอีกไม่นานย่อมได้รับการปล่อยตัวออกไป
แต่...นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
หลังจากนี้ต่างหากคือความโหดร้ายที่แท้จริง
เสียงทหารยามเดินตรวจตราดังก้องไปตามทางเดินตอกย้ำว่าถึงอย่างไรสถานที่อับแสงนี้ก็ยังคงไร้ความหวังจนเมิ่งเข่อซิงอยากจะกลั้นใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่คาดว่า ขณะกำลังทดท้อเสียงของหวังหลี่เจี๋ย คู่หมั้นของนางกลับดังขึ้นก่อนร่างของเขาจะปรากฏในครรลองสายตา
ต้องไม่ลืมว่าครั้งที่แล้ว คู่หมั้นคนนี้ของนางไม่เคยย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเยียนหรือช่วยเหลือใดทั้งนั้นทั้งๆ ที่บิดาของเขาคือเสนาบดียุติธรรมซึ่งคอยกำกับดูแลกรมอาญาแห่งนี้
แต่...ครั้งนี้เขากลับเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของนางด้วยแววตาห่วงใยนักหนา
“ซิงซิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ขอโทษที่พี่มาช้าด้วยมัวแต่พะวงเรื่องของบิดาเจ้า อย่าเพิ่งโกรธพี่เลยนะ พี่เอาอาหารอร่อยมาฝากเจ้าด้วย”
“...” เมิ่งเข่อซิงไม่อาจเอื้อนเอ่ยเมื่อเห็นคู่หมั้นหนุ่มไขกุญแจลูกกรงแล้วเดินเข้ามาวางชามอาหารซึ่งส่งกลิ่นหอมพลางกวักมือเชิญชวนให้นางดื่มกิน
แม้สถานที่แห่งนี้จะมีอาหารทุกมื้อแต่รสชาติช่างย่ำแย่ทั้งนางยังกังวลใจจนกินไม่ลง เมื่อคู่หมั้นนำอาหารรสชาติดีมาเยี่ยมทั้งยังพูดจาให้ความหวัง เมิ่งเข่อซิงจึงกินอาหารเข้าไปจนหมดเกลี้ยง
“ซิงซิง อิ่มแล้วพวกเราคุยกันหน่อยดีหรือไม่”
เสียงอ่อนโยนทั้งท่าทางดูแลเอาใจใส่ช่างปลอบประโลมจิตใจให้หญิงสาวก่อเกิดความคาดหมายว่าเขาจะช่วยเหลือนางให้รอดออกไปจากสถานที่เลวร้ายแห่งนี้
กว่าเมิ่งเข่อซิงจะเข้าใจว่าพวกเขาไม่คิดจะใช้วิธีลงทัณฑ์อย่างที่นางเคยเผชิญแล้วด้วยนั่นไม่ได้ผล
ครั้งนี้พวกเขาจึงปรับเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเกลี้ยกล่อม หลอกถาม และอาศัยจังหวะที่นางมีความหวังเพื่อให้ได้เบาะแส
