ตอนที่ 2 คืนสำคัญ (ต่อ)
“เดือน เดือนลูก”
บุญตาเอ่ยเรียกลูกสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างบางนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ เนื้อตัวบอบช้ำเต็มไปด้วยบาดแผล
“เกิดอะไรขึ้นกับลูก”
คนเป็นพ่อทอดมองลูกสาวที่รักดังแก้วตาดวงใจด้วยแววตาเจ็บปวด เมื่อสองปีก่อนเดือนพรายหายไปจากบ้านพร้อมกับนักศึกษาที่มาออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท บุญตาพยายามออกตามหาแต่ก็ไม่พบ และนักศึกษากลุ่มนั้นก็ปฏิเสธว่าเดือนพรายไม่ได้กลับไปกับคณะพวกตน เขาเฝ้าตามหามาตลอดสองปี ท่ามกลางกระแสข่าวลือต่าง ๆ นานา บ้างว่าเธอหนีตามผู้ชาย บ้างก็ว่าเธอหายไปในคืนที่แสงดาวเต็มฟ้า นั่นแปลว่าเธออาจหายไปในหมู่บ้านแสนดาว
แต่เพราะบุญตาไม่เคยเชื่อตำนานนั่น ด้วยเกิดมากว่าสี่สิบปีก็ไม่เคยได้พบได้เห็นหมู่บ้านที่ว่าหรือแม้แต่คนที่มีลักษณะตามตำนาน เขาจึงมั่นใจว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ และวันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาเชื่อมันเป็นเรื่องจริง
พญ.ปิ่นงาม สั่งให้คนงานพาเดือนพรายเข้ามาในห้องพักที่พร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หลังตรวจอาการเบื้องต้นแล้วพบว่าเธอน่าจะถูกทำร้ายร่างกาย
รอยแผลมีทั้งใหม่และเก่า ภายในบอบช้ำ ร่างกายขาดน้ำและอาหาร เธอรีบปฐมพยาบาล ทำแผลและให้น้ำเกลือโดยมีจันทร์เพ็ญลูกสาวคนโตของบุญตาคอยเป็นผู้ช่วย
“ไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าหมอปิ่นจะต้องช่วยเดือนพรายได้แน่นอน เธอจะต้องปลอดภัย”
ศาสตราจารย์ ดร.ศรันย์ บีบไหล่บุญตาอย่างให้กำลังใจ ทั้งสองนั่งรออยู่หน้าห้องภายในบ้านหลังใหญ่ ส่งกำลังใจไปให้คนที่อยู่ด้านใน
“คุณพ่อครับ”
เด็กชายวัยสิบขวบเดินลงมาจากห้องใต้หลังคาด้วยท่าทางงัวเงีย เพราะเสียงเอะอะที่ดังอยู่ทางหน้าบ้าน
“พวกคนงานคุยอะไรกันเสียงดัง ซันนอนไม่หลับเลยครับ”
เด็กชายบ่นอุบ พลางเดินเข้ามาหาบิดา
“มีเรื่องวุ่น ๆ นิดหน่อยน่ะลูก อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะกลับบ้านกันแล้วละ” ศรันย์ดึงลูกชายเข้ามากอดอย่างปลอบโยน พลางก็โยกตัวกล่อมราวกับจะให้เด็กน้อยหลับต่อตรงนี้
“เดี๋ยวผมไปไล่ให้พวกมันกลับบ้านกันเองครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณหนูตื่น”
บุญตาก้มศีรษะให้เด็กรุ่นหลานอย่างนอบน้อม ด้วยลูกชายเจ้านายนั้นค่อนข้างถือตัวไม่เหมือนบิดามารดา ไม่ชอบสุงสิงกับใครโดยเฉพาะคนงานในไร่ เวลาที่มาที่นี่ก็มักจะเก็บตัว อ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องใต้หลังคา
“แล้วนั่นตาบุญเป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม?”
มีเพียงบุญตาและจันทร์เพ็ญเท่านั้นที่แสงเหนือใกล้ชิดกว่าใคร และให้สิทธิ์เข้านอกออกในบ้านได้ยามที่เด็กน้อยอยู่ที่นี่
เด็กชายวัยสิบขวบขยับออกจากอ้อมกอดบิดา มายืนจ้องมองผู้สูงวัยที่เขาเรียกว่าตา
เด็กน้อยยื่นมือไปแตะลงบนต้นแขนของบุญตาแล้วลูบขึ้นลงเบา ๆ
“โอ๋ ๆ นะครับ”
น้ำตาของบุญตาจึงหยดแหมะลงบนโหนกแก้มด้วยความซาบซึ้งปนสะเทือนใจ เพราะกิริยาอย่างนั้นเป็นสิ่งที่เดือนพรายชอบทำเมื่อวัยเด็ก
“ขอบคุณครับคุณหนู”
หลังจากคืนที่เดือนพรายปรากฏตัวในไร่แสนรัก เธอก็ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติภายในสองเดือน และหลังจากนั้นอีกเก้าเดือนต่อมาเธอก็คลอดลูกชาย
เรื่องนั้นกลายเป็นที่โจษจันในหมู่คนงานอีกครั้ง ต่างลงความเห็นกันว่าเธอต้องได้สมสู่กับพวกหมู่บ้านแสนดาว เธอจึงอุ้มท้องนานถึงสิบเอ็ดเดือน
“แสนดาว ฉันขอตั้งชื่อหนูว่าแสนดาวก็แล้วกัน”
ศาสตราจารย์ ดร.ศรันย์ อุ้มทารกไว้แนบอก เขามองเด็กตัวน้อยอย่างชื่นชมราวกับนี่คือผลงานที่ได้รับรางวัลโนเบล
ส่วนแสงเหนือก็จ้องมองน้องน้อยด้วยแววตาเจิดจ้า ดีใจนักหนาที่ต่อไปเขาจะได้มีเพื่อนเล่นยามที่บิดามารดาพามาอยู่ในไร่กลางป่าห่างไกลผู้คน
“น้องตัวเล็กจังเลยครับ”
แสงเหนือยื่นนิ้วชี้เกลี่ยเบา ๆ บนแก้มสีแดงเรื่อของทารกน้อย
“ตอนที่ซันคลอดใหม่ ๆ ก็ตัวเท่านี้แหละลูก”
พญ.ปิ่นงาม ขยี้ศีรษะลูกชายเบา ๆ อย่างรักใคร่
“จริงเหรอครับคุณแม่”
“จริงครับ แต่ซันแข็งแรงกว่า ส่วนน้องอาจไม่แข็งแรงเท่าไร ซันต้องดูแลน้องดี ๆ นะลูก”
“ครับคุณแม่ ซันจะเป็นคุณหมอคอยดูแลน้องเองครับ”
เดือนพรายและเด็กชายแสนดาวได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของเจ้านายตั้งแต่บัดนั้น
11 ปี ต่อมา…
คืนวันผันผ่าน เด็กน้อยเติบโตตามวัย แสนดาวมีผิวสีขาวอมชมพู รูปร่างงามระหงสะโอดสะองราวกับหญิงสาว ตำนานหมู่บ้านแสนดาวที่เหมือนจะเลือนหายจึงถูกเล่าขานขึ้นมาอีกครั้ง