บทย่อ
ถ้าฉันจะต้องสูญเสียอะไรอีกสักอย่างในชีวิต สิ่งนั้นต้องไม่ใช่เธอ ‘แสนดาว’
ตอนที่ 1 คืนสำคัญ
ตำนานหมู่บ้านแสนดาว หมู่บ้านลึกลับในหุบเขาสายรุ้ง ที่ราบสูงทางตอนเหนือสุดของประเทศ มีการเล่าขานต่อ ๆ กันมา จากรุ่นปู่ย่าตาทวด ว่าหากใครหลงเข้าไปในหุบเขาสายรุ้งจะไม่มีวันได้กลับออกมา
ว่ากันว่าชาวแสนดาวมีเพียงผู้ชายเท่านั้น พวกเขาล้วนมีผิวสีขาวอมชมพู รูปร่างงามระหงสะโอดสะองราวกับสาวงาม หญิงหรือชายใดได้เสพสม หากไม่ตายภายในคืนนั้นก็จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ แต่ต้องแลกกับการไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกอีกเลย
“คืนใดท้องฟ้าเหนือหุบเขาสายรุ้งคลาคล่ำไปด้วยหมู่ดาว นั่นแหละเป็นคืนแห่งการเสพสม คืนนั้นมักจะมีชายหญิงในหมู่บ้านหายตัวไปอย่างลึกลับ และเราจะไม่ได้พบกับพวกเขาอีกเลย”
เด็ก ๆ ที่นั่งฟังกันตาแป๋ว ต่างก็ยกมือขึ้นถูต้นแขนของตัวเอง แม้จะได้ยินได้ฟังตำนานหมู่บ้านแสนดาวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ชวนให้ขนลุกทุกครั้งที่คำแก้วหญิงวัยกลางคนที่ครองตนเป็นโสดมากว่าครึ่งชีวิตมักมานั่งเล่าให้ฟังหลังมื้ออาหารค่ำในวันงานฉลองเงินออกประจำวีก
ไร่แสนรักมีคนงานราวครึ่งร้อย พื้นที่ครึ่งหนึ่งปลูกชา ส่วนอีกครึ่งเป็นไร่สักทอง เจ้าของคือศาสตราจารย์ ดร.ศรันย์ และ พญ.ปิ่นงาม วราราช ท่านทั้งสองก่อตั้งไร่แห่งนี้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่เคยยึดอาชีพปลูกฝิ่นให้หันมาทำอาชีพสุจริต โดยมีบุญตาเป็นมือขวาคอยดูแลให้ยามที่พวกท่านต้องลงไปทำงานประจำที่กรุงเทพฯ
แต่วันนี้เป็นวันดีที่คนงานต่างก็มีความสุข เพราะนอกจากค่าจ้างที่ได้รับแล้วเจ้านายทั้งสองยังบอกข่าวดีกับพวกเขาเรื่องที่หลังเกษียณแล้วจะมาอยู่ที่นี่ในอีกสิบปีข้างหน้า
“พวกเราจะรอนะครับ”
คนงานต่างพากันดีใจและเฉลิมฉลอง บ้างสีสะล้อ บ้างเอาไม้ตีหม้อให้จังหวะ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
แต่ในขณะที่คนงานส่วนใหญ่กำลังส่งเสียงแห่งความสุขอยู่กลางไร่ ไม่มีใครรู้เลยว่าที่ชายป่าใกล้กับแนวต้นสักทองมีเสียงร้องจากหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน กระเสือกกระสนดิ้นรนออกมาจากป่า เนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลจากหนามและกิ่งไม้ เสื้อผ้าของเธอฉีกขาดจนเห็นผิวเนื้อบอบช้ำด้านใน และเสียงร้องของเธอแหบโหยอ่อนแรง
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
คนงานชายรายหนึ่งลุกออกมาจากวงเหล้า เขาเดินดุ่ม ๆ ไปทางชายป่า
“ไปไหนวะ?”
เพื่อนคนงานด้วยกันตะโกนถามไล่หลัง
“ปวดเยี่ยว” เขาตะโกนตอบ ก่อนจะรีบสาวเท้าพร้อมกับปลดตะขอกางเกง
เมื่อเดินหายมาไกลจากเสียงเพลง ก็ตั้งท่าถ่างขารีบควักของลับออกมา ปล่อยของเหลวสีใสพุ่งเป็นทางเสียงดังซ่าท่ามกลางเสียงร้องของแมลงกลางคืน
“ช่วยด้วย”
แต่เสียงหนึ่งที่ดังมาจากพงหญ้าก็ทำเอาคนงานหนุ่มรายนั้นต้องหันขวับมามองอย่างสงสัย
“เสียงอะไรวะ?”
ขนอ่อนลุกชันอย่างห้ามไม่ได้ ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็ใคร่รู้ เมื่อความรู้สึกอย่างหลังชนะขาดลอย สองเท้าจึงก้าวย่องไปข้างหน้าหลังเก็บของลับเข้าที่เข้าทาง
“ช่วยด้วย”
เสียงแหบโหยดังแว่วฟังไม่ถนัด ชายหนุ่มพยายามเงี่ยหู พร้อมกับเอ่ยถาม “ใครวะ?”
การไร้เสียงตอบกลับทำให้คิดลังเลว่าควรเข้าไปดูให้แน่ใจหรือจะหันหลังให้แล้วกลับไปสนุกต่อกับคนอื่น ๆ ดี
“กูถามว่าใคร?”
ลองถามย้ำอีกที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ หนุ่มคนงานจึงหยุดเท้า แล้วตัดสินใจเลือกอย่างหลัง
แต่ทันทีที่หันหลังให้ เงาดำมืดก็คืบคลานออกมาจากพงหญ้าจนรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว เขาจึงค่อย ๆ หันกลับไปด้วยท่าทางหวาดระแวง
และสิ่งที่เห็นก็ทำเอาหนุ่มชาวไร่ขนตั้งชันไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง เปล่งเสียงออกมาอย่างตะกุกตะกัก แต่ก็ดังมากพอให้คนในงานได้ยิน
“ผะ ผะ ผี หลอกกกกกกกกกกก!”
เหล่าคนงานต่างพากันมาชะเง้อมองอยู่หน้าบ้านสไตล์โรงนาหลังสีขาวของเจ้านาย เนื่องด้วยคนที่ถูกหามเข้าไปในนั้น หนึ่งคือคนงานชายที่ถูกผีหลอก และอีกหนึ่งคือผีตนนั้น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มเซ็งแซ่ บ้างก็ว่าเธอออกมาจากหุบเขาสายรุ้ง บ้างก็ว่าเธอเป็นพวกหมู่บ้านแสนดาว
“อีเดือนพราย”
ทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนที่คนพูดจะค่อย ๆ ก้าวเข้ามากลางวง
เด็ก ๆ จ้องมองคำแก้วอย่างสงสัยว่าเดือนพรายคือใครกัน ส่วนคนงานที่โตมาหน่อยต่างก็มีทีท่าตกใจ
“นังเดือนพรายลูกสาวลุงบุญน่ะเหรอป้า?” คนงานคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา “ไหนว่าหนีตามคนเมืองไปตั้งหลายปี แล้วโผล่ออกมาจากในป่าได้ยังไง?”
“หรือที่เขาลือกันว่ามันหายไปในหมู่บ้านแสนดาวจะเป็นเรื่องจริง?”
“แล้วมันรอดมาได้ยังไงล่ะ?”
คนงานต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่าง ๆ นานา งานเลี้ยงต้องเลิกราไปโดยปริยาย บางคนแยกย้ายกันไปช่วยเก็บกวาด บางส่วนยังคงสุมหัวนั่งถกเถียงกันอยู่หน้าบ้าน นำทีมโดยป้าคำแก้ว