ตอนที่ 2
ฉันถามผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างอวบอัด ผิวขาว หล่อนกำลังนั่งคุยอยู่กับฝรั่งแก่คนหนึ่งซึ่งมีทีท่าว่ากำลังจีบกัน ที่ฉันถามอย่างใจเย็นก็เพราะมั่นใจว่ายังไงก็มีห้องพัก เพราะว่าวันนี้ผู้คนบางตา
“มีค่ะ... ”
หล่อนหันมาตอบ
ฉันพยักหน้า
“จะพักกี่คืนคะ”
“คืนเดียวค่ะ... ราคาเท่าไรคะ”
“แปดร้อยค่ะ”
หล่อนตอบเสียงเรียบๆ สำเนียงเหน่อเล็กน้อย ฉันรู้สึกตกใจกับราคาห้องพักแสนถูก
หลังจากสิ้นบทสนทนาสั้นๆ หล่อนก็เดินนำหน้าไปยังห้องพักริมชายหาด ปลูกสร้างเป็นบังกะโลชั้นเดียว ทาด้วยสีขาวทั้งหลัง เรียงเป็นแถวขนานไปกับถนนที่ตัดผ่านหน้าชายหาด สุดถนนเป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม
“ห้องนี้นะคะ”
หล่อนเปิดประตูให้ฉันสำรวจดูห้องคร่าวๆ ก่อนจะยื่นกุญแจห้องมาให้
จากสภาพที่เห็นทำให้ฉันไม่แปลกใจนักว่าทำไมราคาห้องพักแสนถูก เพราะเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลิ่นอับๆ จากแอร์เก่าคร่ำส่งเสียงครืดครางเหมือนคนจะขาดใจจนน่ารำคาญหู แต่สภาพโดยรวมก็สมแล้วกับราคาคืนละแปดร้อยเท่านั้น
เมื่อก้าวเข้ามาภายในห้องพักแคบๆ ฉันวางเป้ใส่เสื้อผ้าเอาไว้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ทิ้งกายลงนอนบนเตียง ลืมตาโพลงมองเพดานห้องสีขาวหม่น แลเห็นแมงมุมกำลังชักใยสนุกสนาน
สายตาของฉันจับจ้องมองเพดานอยู่นานเป็นครู่ หากแต่ความรู้สึกนึกคิดกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น น่าแปลกที่มันยังวนเวียนอยู่กับหนุ่มต่างชาติผู้มีใบหน้าครึ้มเคราและหล่อเหลาคนนั้น อยากรู้นักว่าทำไมเขาถึงได้จ้องมองฉันไม่วางตา
ป่านนี้เขาจะยังนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนริมชายหาดหรือเปล่านะ? ฉันลุกขึ้นจากเตียง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นทำให้ฉันกระวนกระวาย นึกสงสัยจนเกือบจะเดินออกไปดู แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีก็รั้งขาของฉันเอาไว้... มันย้ำเตือนว่า ‘ฉันมีผัวแล้ว’
ฉันเปิดทีวีเครื่องเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องเพื่อดับความฟุ้งซ่าน ไม่นานก็ได้ยินเสียงท้องของตัวเองร้องขึ้นมา ราวจะประท้วงว่าสองทุ่มแล้วข้าวเย็นยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด
ฉันลุกขึ้นส่องกระจก เช็ดหน้าเช็ดตาจนสะอาดสะอ้าน ตบแป้งเพียงบางๆ แล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปหาข้าวกิน
ฉันเดินย่ำทรายไปจนถึงร้านอาหารที่ตั้งอยู่สุดถนนซึ่งตัดผ่านชายหาด ข้างๆ กันนั้นมีร้านขายเหล้าเบียร์เล็กๆ ตกแต่งร้านสไตล์คาวบอยตะวันตก แลเห็นลูกค้านั่งดื่มกันอยู่สามสี่คน ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน สั่งเบียร์มาดื่มฆ่าเวลาระหว่างรอข้าวผัดกุ้ง
ขณะกำลังดื่มเบียร์เย็นฉ่ำ ทอดสายตาออกไปมองดวงไฟเรืองสไวจากเรือประมงหาปลาที่ลอยลำอยู่ไกลๆ ครั้นแล้วก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามีผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง นั่งอยู่ด้านในสุดของร้านเหล้า เขากำลังจ้องมองมาที่ฉัน
เนื่องจากที่ตรงนั้นค่อนข้างสลัว พอฉันเพ่งตามองอย่างตั้งใจ ก็ยิ่งรู้สึกตกใจ เมื่อพบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเดียวกับหนุ่มต่างชาติที่ฉันเจอเมื่อตอนเย็น
ฉันวางแก้วเบียร์ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา มันดูเจ้าชู้ แฝงไว้ด้วยความเร่าร้อนบางอย่างที่ฉันรู้สึกได้ ซึ่งฉันก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างมีมิตรไมตรี
เมื่อตอนเย็น แม้ว่าฉันจะเห็นเขาในระยะไกลๆ ก็รู้ว่าเขาหล่อเหลา แต่พอได้เห็นใกล้ๆ ในร้านอาหาร ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าเขาหล่อจริงๆ... หล่อมาก
เขาแต่งตัวเรียบง่ายสไตล์ฝรั่ง นุ่งกางเกงขาสั้นสีเขียวเข้มลายพรางคล้ายทหาร เป็นกางเกงแบบยาวลงไปเกือบถึงเข่า สวมเสื้อกล้ามสีขาว สกรีนเป็นรูปรถตุ๊กๆ จอดอยู่ข้างเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ ใต้ภาพมีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดง อ่านว่า ‘ฉันรักเมืองไทย’ รูปร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร เนื้อตัวบึกบึน กำยำล่ำสันไปด้วยมัดกล้าม
ฉันกินข้าวผัดไปเพียงครึ่งจาน จากนั้นก็สั่งเบียร์มาเพิ่มอีกกระป๋อง เมื่อเหลือบมองไปยังโต๊ะที่ชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นนั่งอยู่... ก็พบว่าเขายังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมเหมือนรูปปั้น หากแต่สายตาก็ยังคงมองมาที่ฉัน
สายตาซ่อนเร้นความเร่าร้อนของเขาที่จ้องมองมา ทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรง และพอจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรกับผู้หญิงที่เดินทางมาเที่ยวคนเดียวอย่างฉัน
ฉันคว้าเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อนอาการตื่นเต้น ทำทีเป็นไม่สนใจ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่ย่างก้าวเข้ามาในร้าน
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันที่ดังขึ้นก็ทำเอาฉันสะดุ้ง ตายละ... ! พี่เอกโทรมา ฉันรีบกดรับพร้อมๆ กับนึกในใจว่ายังไงก็จะไม่บอกความจริงเด็ดขาดว่าตอนนี้ฉันอยู่ชะอำ
“เดือน... อยู่ไหนนี่”
พี่เอกถาม
“เอ่อ... เดือนมาบ้านแม่ค่ะ”
ฉันรีบโกหก บ้านแม่ฉันอยู่นครสวรรค์