ตอนที่ 8
“เฮ้อ....” ฮิเดกิเล่าจบก็ถอนหายใจ
“แหม..อยากเห็นจริงๆ เลยว่าผู้หญิงที่ทำให้มิยาฮาร่ามานั่งละเมอเพ้อพกได้ขนาดนี้ หน้าตาสวยขนาดไหน” ออยเฟ่ย์พูดกระเซ้าเย้าแหย่ฮิเดกิอย่างสนุกสนาน
“โธ่....แค่นี้ผมยังดูช้ำใจไม่พออีกเหรอคร้าบบ” ฮิเดกิแกล้งทำสีหน้าโศกเศร้า ทำให้ออยเฟ่ย์หัวเราะออกมาด้วยความขำขันสีหน้าของเขา ส่วนเอริโกะมีสีหน้าหมั่นไส้
“ใครช้ำใจงั้นเหรอ?” เซร่าเดินมาถึงโต๊ะและทันได้ยินที่ฮิเดกิพูดพอดีจึงถามด้วยความสงสัย
“เฮ้ย...เปล่าๆ ไม่มีใครช้ำใจหรอก” ฮิเดกิสะดุ้งเฮือกพร้อมกับรีบปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็ว
“อ้าว..เมื่อกี้นายบอกว่า....อุ๊บ!” เอริโกะกำลังจะบอกเซร่าถึงเรื่องเมื่อครู่ ฮิเดกิจึงรีบเอามือปิดปากของเธอทันทีก่อนที่จะพูดอะไรออกมา
“ไม่มีใครพูดอะไรซักหน่อย เอริโกะละเมอไปเองน่ะ”
ฮิเดกิรีบแก้ตัวพัลวัน เซร่ามีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เพราะเหมันต์และออยเฟ่ย์ต่างพากันกลั้นหัวเราะ ส่วนเอริโกะก็ดิ้นขลุกขลักเพราะโดนฮิเดกิปิดปากเอาไว้
“เซร่าเอาเอกสารจากอาจารย์มารึยัง?” คิมหันต์เดินตามมาถึงภายหลังเซร่ามาเล็กน้อย ถามถึงเอกสารการจัดเตรียมงานที่ได้รับมา
“เอามาแล้ว นี่ไง” เซร่าพร้อมกับชูเอกสารให้เขาดู
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวเธอรวมเอกสารสองอันนี้เข้าไว้ด้วยกันนะ” คิมหันต์บอกพร้อมกับส่งเอกสารอีกสองฉบับที่เขาได้รับมาให้กับเซร่า
“จริงสิ อาจารย์บอกว่าให้เราเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการห้องอื่นวันพฤหัสนี้ด้วยนะ รู้รึยัง?” เซร่ารับเอกสารมาพร้อมกับถามชายหนุ่มทันที
“รู้แล้วล่ะ ไม่ได้เซ่อเหมือนเธอนี่” คิมหันต์พยักหน้าก่อนจะพูดล้อเลียนหญิงสาว
“ใครเซ่อยะ?” เซร่าถามเสียงเขียว
“ไม่รู้สิ” คิมหันต์อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวงอนและทำแก้มป่อง
“แล้วก็นะ....” คิมหันต์รีบตัดบทพูดเรื่องอื่นทันที พร้อมกับวางมือบนขอบเก้าอี้อีกด้านของเซร่า เมื่อพิจารณาแล้วดูจากด้านหลัง ราวกับเขากำลังโอบกอดเธอเอาไว้
“เฮ้อ เอาอีกแล้ว คู่นี้เข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวอีกละ” เอริโกะพึมพำออกมาเบาๆ
“สองคนนี้เป็นแบบนี้บ่อยรึ?” ออยเฟ่ย์กระซิบถาม
“ค่ะ ยิ่งอยู่ในห้องเรียน ยิ่งไม่สนใครเลยค่ะ” เอริโกะพยักหน้า
“เหรอ...” ออยเฟ่ย์ลากเสียงยาวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ทั้งสี่คนต่างจ้องมองชายหนุ่มและหญิงสาว เพราะพวกเขาพูดคุยกันราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวไม่สนใจสิ่งรอบข้างสักนิด
ทุกคนประหลาดใจที่เซร่าเรียกคิมหันต์ว่า “คิม” โดยที่เขาไม่รู้สึกโกรธ ที่สำคัญคิมหันต์ยังเรียกชื่อของเซร่าอย่างสนิทสนม ยิ่งทำให้ทุกคนคิดเรื่องของทั้งคู่ไปกันใหญ่ และดูเหมือนทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยสักนิด
ทันใดนั้น....
“คิม!!”
เสียงร้องเรียกของหญิงสาวคนหนึ่งดัง ทำให้ทั้งหมดหันไปมองด้วย ไม่มีใครคาดคิดหญิงสาวคนนั้นโผเข้ากอดคิมหันต์ทันทีโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“คิดถึงจังเลย..” หญิงสาวคนนั้นพูดพร้อมกับกอดคิมหันต์แน่น
ชายหนุ่มยืนนิ่งอึ้งด้วยความงุนงง เซร่าชักสีหน้าไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น
“เธอเป็นใครน่ะ?” คิมหันต์ดันตัวหญิงสาวคนนั้นออกห่างจากตัวของเขาทันที สีหน้าไม่พอใจที่เธอทำแบบนี้
“จำฉันไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?” หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงตัดพ้อ นัยน์ตาสวยบ่งบอกถึงความน้อยใจ
“ฉันจำไม่ได้” คิมหันต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คิม..” หญิงสาวคนนั้นผงะไปด้านหลัง นัยน์ตาสวยเจ็บช้ำกับสิ่งที่ได้ยิน
“ฉันไม่อยากเชื่อว่า เธอจะลืมฉันได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ทั้งๆ ที่ฉันจำเธอได้แม่นยำเสมอ....แม้ว่าเวลามันจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตาม....”
หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาอย่างตัดพ้อ สายตาของเธอจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่ง คิมหันต์ยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้น
“ใครกันน่ะ?” เซร่าลุกขึ้นยืนเคียงข้างพร้อมกับกระตุกชายเสื้อของชายหนุ่มเป็นเชิงถาม
“ฉันไม่รู้” คิมหันต์ส่ายหน้า
เซร่าจ้องมองหญิงสาวคนใหม่สลับกับมองหน้าชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
“นั่นสินะ.....เมื่อเวลาผ่านไป ใจคนเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา....แต่ว่า....น่าแปลกใจเสียจริงที่ฉันยังคงเป็นเหมือนเดิม...เป็นคนเดิม...ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...”
หญิงสาวคนนั้นมองไปที่เซร่าสลับกับมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความเข้าใจในทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
คิมหันต์นิ่งอึ้ง เขาพยายามเรียบเรียงความทรงจำว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วเพราะอะไรถึงได้พูดจาตัดพ้อเขามากมายเช่นนี้
“อดีต...ก็คงเป็นเพียงแค่อดีตสินะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอคืน ‘ของ’ สิ่งนี้ให้กับเธอแล้วกัน”
หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดสร้อยคอที่ห้อยสิ่งของลักษณะคล้ายกับจี้ออกและจ้องมอง ‘มัน’ เนิ่นนาน ก่อนจะตัดสินใจจับมือของคิมหันต์แบออกและวางสร้อยเส้นนั้นไว้บนฝ่ามือหนาใหญ่ของเขา
“ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่เธอเคยทำให้ฉัน...เมื่อนานมาแล้วนะ..”
หญิงสาวคนนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และฝืนยิ้มให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะหันหลังและก้าวเดินจากไปอย่างช้าๆ
ทุกคนยังคงนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า คิมหันต์ก้มลงมองสิ่งของที่อยู่ในมือ ก็พบว่า มันเป็นสร้อยคอทองคำขาว มีจี้ห้อยติดอยู่
เขาเพ่งสายตาดูที่จี้ก็พบว่า มันถูกสร้างขึ้นเป็นกรอบรูปหัวใจ ตรงกลางของรูปหัวใจมีสิ่งของที่ดูเหมือนกลีบดอกไม้ แต่ดูแห้งเหี่ยวและสีของมันก็เป็นสีขาวนวลคล้ายกับโดนละอองฝุ่นจับเป็นเวลานาน
ชายหนุ่มพิจารณากลีบดอกไม้ด้วยความครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้างออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ เขาเอาสร้อยคอเส้นนั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับวิ่งจากไปทันทีท่ามกลางความงุนงงของทุกคน