ตอนที่ 4
ปัง!!
ชายวัยกลางคนกระแทกแฟ้มเอกสารลงกับโต๊ะทำงานในห้องส่วนตัวหรูหราอย่างแรง
ลูกน้องคนสนิทที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับสะดุ้งตกใจ ก่อนจะปิดประตูห้องและเดินเลี่ยงไปยืนหลบมุมอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู
ชายวัยกลางคน ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนกว่าเยาว์จนแทบไม่น่าเชื่อว่าอายุเกือบใกล้ 40 แล้ว กำลังเดินหงุดหงิดพลุ่นพล่านอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตน
เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธที่เกิดจากการประชุมเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ
เขาหยิบซิการ์จากลิ้นชักโต๊ะขึ้นมาตัดปลายออก ลูกน้องคนสนิทปรี่เข้ามาและจุดไฟให้อย่างรู้ใจ
ชายวัยกลางคนโบกมือไล่ ก่อนที่เขาจะกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟาบุฟองน้ำหนานุ่ม ใบหน้าเคร่งเครียด แววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
มติที่ประชุมเมื่อครู่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้
กรรมการทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดของมาร์คัสที่จะให้ทายาทเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสืบทอดต่อ
ตัวเขาเองเป็นถึงรองประธานกรรมการบริษัท และหมายที่จะครอบครองบริษัทแห่งนี้
การที่ทายาทของมาร์คัสจะมารับช่วงงานบริหารแทน ย่อมหมายถึงว่าความหวังที่จะยึดครองบริษัทต้องพังทลาย
ชายวัยกลางคนเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ อย่างใช้ความคิด
“เหมันต์” เป็นชื่อที่ออกจากปากของมาร์คัส
เขาเคยพบชายหนุ่มคนนี้มาก่อน จากการพินิจพิเคราะห์ “เหมันต์” สามารถบริหารงานแทนมาร์คัสได้ ที่สำคัญดูเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเพิ่มขึ้น
เขาและมาร์คัสมักมีความเห็นขัดแย้งกันเสมอในเรื่องของรายรับและรายจ่ายบางประเภท
มาร์คัสเป็นคนตรงไปตรงมา ขวานผ่าซาก บริหารงานอย่างซื่อสัตย์ แต่อุปนิสัยค่อนข้างเจ้าอารมณ์ ชอบดุด่าว่าพนักงานที่ทำงานไม่ได้ดั่งใจ จนบางครั้งเป็นเหตุให้พนักงานลาออก
ตรงข้ามกับตัวเขาโดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ พนักงานส่วนใหญ่จึงรักและให้ความเคารพเขาเป็นอย่างดี
แต่กระนั้น อำนาจการตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากกรรมการคนอื่นๆ ที่เห็นว่ามาร์คัสสามารถบริหารงานได้ดีกว่าเขา ซึ่งลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นแน่นอน
สิ่งเดียวที่เขาควรทำก็คือ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะลามไปมากกว่านี้
แต่...จะทำอย่างไรที่จะทำให้คณะกรรมการบริษัทเห็นว่า เขาบริหารงานได้ดีกว่ามาร์คัส
ชายวัยกลางคนพ่นควันซิการ์เป็นวงกลมพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ใช้สมองคิดหาวิธีการ
พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเอกสารแนบการประชุมเกี่ยวกับสินค้าชนิดใหม่ที่บริษัทจะนำออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้
ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้าสมอง
ชายวัยกลางคนยิ้มเหยียดออกมาที่มุมปาก กระดิกนิ้วเรียกคนสนิท
“แกไปจับตัวทายาทของไอ้มาร์คัสไปเรียกค่าไถ่ซะ”
“หลังจากที่ได้เงินแล้ว ฆ่ามันซะ เข้าใจมั้ย?” ชายวัยกลางคนกระซิบสั่งน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ลูกน้องคนสนิทพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ถ้าบริษัทล่มจม และทายาทของแกไม่สามารถมาบริหารงานต่อได้ แกจะทำยังไง มาร์คัส ฮ่าๆ”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างสะใจอยู่คนเดียวภายในห้องทำงานส่วนตัว
ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของเขาได้ นอกจากตัวเขาเท่านั้น
เซร่านั่งเหม่อมองดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน บรรยากาศภายนอกดูสงบ แต่ท่ว่าภายในใจของเธอกำลังสับสน ร้อนรุ่มกับความรู้สึกของตนเอง
คุณเหมันต์เป็นคนที่สาวๆ หมายปองตั้งเยอะ
เป็นถึงประธานนักเรียน เท่ หน้าตาก็ดี
แต่...เขาชอบออยเฟ่ย์นี่นา
“ทำไมเขาถึงมาขอคบกับเรานะ” เซร่าพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเอนศีรษะพิงกับขอบหน้าต่าง
“ถ้าฉันคบกับคุณเหม...นายจะได้คบกับออยเฟ่ย์มั้ยนะ” หญิงสาวมีสีหน้าหม่นหมองลงเมื่อนึกถึงชายหนุ่มอีกคน
“เฮ้ย จะไปคิดถึงอีตานั่นทำไมนะ” เซร่าสะบัดศีรษะพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว
“คุณหนูเซร่า!!”
“ออกมาห่างๆ หน้าต่างเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
ป้าแมรี่รีบวางถาดใส่แก้วนมอุ่นบนโต๊ะ พร้อมกับเข้าไปฉุดมือหญิงสาวให้ขยับห่างจากหน้าต่าง
“เกิดพลัดตกลงไปจะทำยังไงคะ”
“แหม..หนูแค่นั่งดูดาวเอง” เซร่ากระเง้ากระงอด ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่ดูนุ่มสบาย
“สงสัยต้องโดนตีซะมั่งนะคะ จะได้หายจากโรคดื้อเนี่ย” ป้าแมรี่ดุเสียงเข้ม และส่งแก้วนมให้หญิงสาว
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เซร่าดื่มนมรวดเดียวหมดแก้ว และฝืนยิ้มให้ป้าแมรี่
“โกหกไม่เก่งเลยนะคะ” ป้าแมรี่รับแก้วนมคืนและพูดดักคออย่างรู้ทัน
“........”
“อิฉันดูแลคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นยังไง”
ป้าแมรี่มองเซร่าด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงเคียงข้างหญิงสาว ลูบผมนิ่มยาวสลวยของหญิงสาวอย่างรักใคร่
“ถ้ามีคนๆ นึงช่วยชีวิตเราไว้ เราควรจะตอบแทนเขามั้ยคะ?”
“ต้องตอบแทนสิคะ”
“แม้ว่าการตอบแทนนั้น จะทำให้เรารู้สึกแย่รึคะ?” เซร่าพึมพำพร้อมกับทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง
“คนๆ นั้นเป็นคนดีมั้ยล่ะคะ?”
“ถึงเขาจะปากร้าย ขี้เก๊ก แต่...เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง...” เซร่าตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิวในท้ายประโยค
“แล้วจะลังเลทำไมล่ะคะ” ป้าแมรี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“...........”
“นอนได้แล้วค่ะ ดึกมากแล้ว” ป้าแมรี่บอกพร้อมกับคลี่ผ้าห่มบนเตียงนอน
“ป้าคะ...เอ่อ..คนเราสามารถชอบคนสองคนในเวลาเดียวกันได้มั้ยคะ?”
“ไม่ใช่แบบเพื่อนนะคะ” เซร่ารีบบอกก่อนป้าแมรี่จะตอบ
“แล้วแต่คนค่ะ บางคนอาจจะชอบอีกคนหนึ่ง เพื่อให้ลืมอีกคนหนึ่งก็เป็นได้” ป้าแมรี่ดึงขอบผ้าปูที่นอนให้ตึง
“แต่บางคนก็อาจจะชอบทั้งสองคน เพราะไม่สามารถเลือกคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้ค่ะ”
“เอ๊ะ ถามแบบนี้ คุณหนูแอบไปชอบใครรึเปล่าคะ?” ป้าแม่รี่ล้อเลียนหญิงสาวในท้ายประโยค
“เปล่าซักหน่อย” เซร่าปฏิเสธทันที แต่ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ
“เอ๊...ชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันน้า ถ้าไม่ใช่คุณฮิเดกิ ก็น่าจะเป็น..คุณเหมันต์ที่มาส่งคุณหนูวันนี้ใช่รึเปล่าคะ?” ป้าแมรี่แกล้งพูดเรื่องเหมันต์ขึ้นมาแหย่เซร่า
“ไม่เอาละ หนูไม่คุยด้วยแล้ว นอนดีกว่า” เซร่าบอกพร้อมกับทิ้งตัวนอนลงบนเตียง คว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอาไว้อย่างเขินๆ
“ค่า นอนให้หลับนะคะ”
ป้าแมรี่ลุกขึ้นจากเตียง อมยิ้มกับท่าทางของหญิงสาวที่เขินอายจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนปิดริมฝีปากบางของเธอ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เซร่าพึมพำเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับไฟในห้องที่ดับลงเช่นกัน
ท่ามกลางความมืดมิดในห้องนอน แสงจันทร์ที่ดูนวลตาส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สะท้อนกับกระจกดูสวยงามยิ่งนัก
หญิงสาวพลิกตัวตะแคงมองดูดวงดาวผ่านม่านบางๆ ที่คลุมรอบเตียงด้วยแววตาครุ่นคิด
“ถ้าฉันคบกับคุณเหม แล้วทำให้นายได้คบกับออยเฟ่ย์ล่ะก็..”
เซร่าเม้มริมฝีปากบางเฉียบแน่น ราวกับตัดสินใจได้แล้วว่า คำตอบของเธอเป็นอย่างไร