บทที่4
จากเปลือกตาที่ปรือขึ้น เธอจับตามองดูเขาปีนขึ้นจากสระในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เรือนผมชุ่มน้ำดูเป็นสีดำสนิท ประกายสุกใสเมื่อครู่ดูจะถูกซ่อนซุกไว้ ละอองน้ำที่จับอยู่บนเรือนร่างทำให้ผิวคล้ำๆ นี้ดูสดชื่นเหมือนขัดเงาไว้ใหม่ๆ เรือนร่างที่บอกถึงความแกร่งแบบผู้ชายทำให้เธอรู้สึกเสียววาบลงไปในช่วงท้อง เมื่อมองเห็นภาพที่เลยไกลไปจากนั้น
เขาดึงผ้าเช็ดตัวมาพาดไว้ตรงลำคอแต่มิได้มีท่าทีว่าจะเช็ดเนื้อตัวให้แห้ง เมื่อเขาหันมามองทางเธอ แอนเนทท์ก็ออกจะดีใจอยู่ที่เปลือกตาของเธอหรี่ปรือเกือบจะปิดสนิทไม่อยากให้เขารู้ว่ากำลังถูกแอบมองอยู่ ความพึงใจปรากฏขึ้นเมื่อได้รู้ว่าถึงเขาจะเห็นเธอเป็นเพียง “คุณหนู” แต่ก็ยังต้องเหลียวกลับมามองด้วยความสนใจ และทำให้แอนเนทท์บอกตัวเองว่า สำหรับตอนนี้ เธอจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ก่อน
ขณะที่โจช ดีน ออกเดินจากบริเวณสระหายตัวไปตามทางเดินนั้นมาชาก็วางหนังสือลง
“พ่อกับน้าแคทลีนมาแล้ว ล็อบบี้ก็คงตื่นนอนกลางวันแล้วล่ะ”
แอนเนทท์ผุดลุกขึ้นนั่ง เมื่อบิดากับมารดาเลี้ยงเดินเข้ามาใกล้ เด็กชายตัวน้อยผมดำสนิทจูงมือแคทลีนไว้ด้วยท่าทางเร่งให้เดินเร็วขึ้นเธอยิ้มออกมาชอบที่จะได้เห็นภาพของบุคคลทั้งสามอันประกอบด้วย พ่อ แคทลีน กับน้องชาย พ่อนั้นโอบมืออยู่รอบไหล่กลมกลึงของผู้หญิงผมสีแดงอมทองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงเท่ากับเป็นการย้ำเตือนถึงความรักของบุคคลทั้งสองที่มีต่อกัน
มาชาโบกมือเพื่อเรียกความสนใจขึ้น แคทลีนจึงปลดมือจากลูกชายออกล็อบบี้วิ่งผ่านเก้าอี้ของแขกคนอื่นๆ เข้ามาหาแกอยู่ในกางเกงอาบน้ำตัวจิ๋วเมื่อเวิ่งเจ้ามาหามาชากับแอนเนทท์
“วู้...” แอนเนทท์หัวเราะออกมาคว้าเอวน้องชายไว้ได้ทัน
“นี่...หนูจะวิ่งเล่นรอบสระไม่ได้รู้ไหมบางตอนมันลื่น เดี๋ยวจะหกล้มลงไป”
เสื้อชุดอาบน้ำของเธอยังเปียกอยู่ ซึ่ง ล็อบบี้สังเกตเห็นได้ในทันที
“ทำไมพี่ถึงไม่รอให้ผมตื่นเสียก่อน แล้วค่อยลงไปว่ายน้ำล่ะครับ?” แกต่อว่า
“ผมยังเคยรอพี่เลย”
“ไปสวมห่วงยางที่แขนก่อนไป๊เดี๋ยวพี่จะลงว่ายน้ำกับหนูอีกก็ได้”
แอนเนทท์ให้คำมั่นพร้อมกับปล่อยร่างแกออก
ล็อบบี้แทบจะไม่ยอมเสียเวลาให้แคทลีนเอากระเป๋าชายหาดลงวางขณะที่ซุกหัวลงไป
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกน่า” เธอดุให้เมื่อเห็นแกคุ้ยของในกระเป๋าอย่างไม่ระมัดระวัง
“พับผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อยเหมือนเดิมนะ”
“เดี๋ยวหนูทำเองค่ะ แคทลีน” มาชาอาสาทำแทนน้องชาย
“ไม่เอาให้ ล็อบบี้ทำ” มารดาเลี้ยงปฏิเสธยิ้มๆ
“พวกเธอน่ะตามใจแกมากไปถึงได้เป็นยังงี้”
“หนูคิดว่านั่นเป็นหน้าที่ของพี่สาวจะพึงปฏิบัติต่อน้องชายนะคะ” แอนเนทท์พูดปนหัวเราะ
“มาชากับหนูจะดูแลแกเองค่ะน้ากับพ่อจะได้มีเวลานั่งคุยกันไงคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองบิดาผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมสัน จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สีเทาซึ่งเป็นสีเดียวกันกับของเธอ
“ยิ่งกว่านั้นเรายังไม่อยากเห็นพ่อหัวหงอกมากกว่านี้หรอกค่ะ”
เธอพูดยั่วๆ ถึงเรือนผมซึ่งเริ่มมีเส้นขาวๆ หงอกขึ้นแซมซึ่งได้พบเมื่อวันก่อน
“อย่าไปโทษว่าทั้งหมดมันมาจาก ล็อบบี้คนเดียวเลย” จอร์แดนมองตอบลูกสาว
“ถ้าจะมีใครสักคนในครอบครัวของเราทำให้พ่อหัวหงอกได้ละก็แกนั่นแหละแอนเนทท์”
“นี่พ่อลงมือห่วงหนู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะคะ?” เธอยั่วต่อ
“ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้วก็ตั้งแต่วันที่แกเกิดนั่นแหละ” พ่อของเธอโต้ด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
“เออ...พอพูดถึงเรื่องนี้ตัดสินใจหรือยังล่ะว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด?”
“ค่ะ” ภาพของโจชัว ดีน ปรากฏขึ้นในมโนจักษุ
“อะไรล่ะจ๊ะ?” แคทลีนถามขึ้นทันที ขณะที่สวมห่วงยางเข้ากับแขนของลูกชาย
“รถเฟอรารี่ค่ะ” แอนเนทท์พูดไปนอกลู่นอกทาง เพราะเธอไม่อาจจะบอกบิดาตรงๆ ได้ว่าสิ่งที่เธออยากจะได้เป็นของขวัญวันเกิดที่สุดนั้นคืออะไร
“ลองขอใหม่อีกสักครั้งเถอะน่า”
พ่อของเธอว่าและแอนเนทท์ก็หัวเราะออกมา เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าของขวัญชิ้นที่เธอกล่าวออกไปนั้นเหลือกำลังที่พ่อจะหามาสนองความต้องการให้ได้
แอนเนทท์กลิ้งร่างอยู่ในเตียงรู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องต้องตาอยู่ เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะไว้ด้วยความตั้งใจจะให้มันช่วยบังแสงแต่ก็ไร้ประโยชน์ การนอนของเธอถูกรบกวนเสียแล้ว และเมื่อลืมตาขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจจะกลับไปนอนให้หลับได้อีก
เธอส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่พอใจ ปัดผ้าห่มออกหันไปดูผู้ที่นอนร่วมอยู่ในห้องบนเตียงเดี่ยวเคียงข้างกับของเธอนั้น มาชากำลังหลับสนิท แอนเนทท์อยากจะโยนหมอนใส่น้องสาวด้วยความอิจฉานัก แต่คิดๆ ดูแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของน้องสาวเลยที่เธอตื่นขึ้นมาก่อนจึงคลานลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ
ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ออกจากห้องน้ำ แปรงฟันเรียบร้อย ความง่วงงุนถูกชำระล้างจนหายไปจากใบหน้าก่อนที่จะตัดสินใจว่าควรจะแต่งตัวชุดอะไรดี แอนเนทท์ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อจะศึกษาดูก่อนว่าบรรยากาศของวันนี้ควรจะเป็นอย่างไร นอกเสียจากปุยเมฆสีขาวประปรายแล้วท้องฟ้าดูกระจ่างสดใสดี
หน้าต่างบนห้องพักชั้นสองนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเวิ้งอ่าว และสนามกอล์ฟที่มีอาณาเขตติดต่ออยู่กับบริเวณโรงแรม จากมุมที่แอนเนทท์ยืนอยู่เธอมองเห็นแขกคนอื่นๆ ที่ตื่นขึ้นชมพระอาทิตย์ในยามเช้า และเดินจ๊อกกิ้งออกกำลังกันอยู่ ในจำนวนนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่แยกตัวเองออกจากคนอื่นๆ เธอจำท่อนขาที่อุดมด้วยมัดกล้ามและท่าเดินของเขาได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเรือนร่างเช่นนั้นจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากโจช ดีน
เธอเลื่อนสายตาสำรวจเส้นทางที่เขาจะเดินไปข้างหน้าอยู่เป็นครู่พร้อมกับผนึกลงไว้ในความทรงจำ จากนั้นก็หมุนตัวผละออกจากหน้าต่างอย่างรวดเร็ว รีบร้อนเดินไปยังลิ้นชักที่เก็บเสื้อผ้าของเธอไว้ คุ้ยเสื้อผ้าที่พับเรียงซ้อนอยู่ในนั้นออกมาอย่างขาดความระมัดระวังจนเมื่อได้พบกางเกงขาสั้นสีเขียวเทอร์คว๊อยกับเสื้อยืดตัวบนสีเข้ากันคว้ามันออกมาได้รีบถอดเสื้อนอนออกสวมชุดสำหรับจ๊อกกิ้งแทนโดยไม่สนใจจะสวมเสื้อชั้นในด้วยซ้ำ
ตอนที่เอื้อมไปหยิบถุงเท้าหนาๆ เพื่อสวมเข้ากับรองเท้าผ้าใบนั้น แอนเนทท์ลอบชำเลืองมองภาพสะท้อนของตัวเองจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้งหยุดพิจารณาอย่างใกล้ชิดใบหน้าของเธอสะอาดผุดผ่องปราศจากเครื่องสำอางใดๆ ทั้งสิ้นกอปรกับเสื้อผ้าชุดที่สวมอยู่ช่วยเน้นความงามของวัยสาวรุ่นให้สดใสขึ้น
“คุณหนู...ฮึ?”
เธอพึมพำกับรูปโฉมของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกพิจารณาเรือนผมสีบลอนด์ที่ยาวเคลียไหล่ ซึ่งน่าจะปล่อยลงเป็นแบบหางลาแววเล่ห์เหลี่ยมฉายแสงอยู่ในดวงตาของเธอ
“ถ้าเขาคิดว่าฉันน่ะเหมือนเด็กเมื่อวานนี้ รอไว้ให้เห็นฉันเช้านี้ก่อนเถอะ”
เธอโยนถุงเท้าทิ้งไว้ก่อนวิ่งถลันเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำผม ใช้ยางรัดไว้เป็นสองปอย ซึ่งทำให้เธอดูเป็นสาวรุ่นมากขึ้น และแล้วแอนเนทท์ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังๆ เดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่ใช้ร่วมกับน้องสาวหยิบถุงเท้ารองเท้าขึ้นมาสวม
“นั่นพี่ทำอะไรน่ะ?” น้ำเสียงง่วงงุนของมาชาถามขึ้น
“นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว”
“เพิ่งจะ 6 โมงกว่าเท่านั้น” แอนเนทท์เอื้อมไปผูกเชือกรองเท้าอีกข้าง ใบหน้าของมาชาขมวดมุ่นเมื่อดวงตาจับภาพของพี่สาวถนัดขึ้น
“นี่พี่คงจะไม่ออกวิ่งแต่เช้าอย่างนี้หรอกนะ?” น้องสาวของเธอทักท้วงเมื่อคิดถึงกิจกรรมการออกกำลังกายในยามเช้าตรู่เช่นนี้
“อ๋อ...ไปแน่จ้ะ” แอนเนทท์ตอบด้วยน้ำเสียงเริงรื่นสบสายตากับน้องสาวด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“เธอไม่รู้หรอกน่าว่าฉันจะ ‘วิ่ง’ เข้าไปหาใคร”
“ให้เดาไหมล่ะ?” มาชาตอบอย่างฝืนใจ ล้มตัวกลับลงนอนในเตียง
“อวยพรให้ฉันโชคดีด้วยสิ” แอนเนทท์ออกเดินไปยังประตู
“ถ้ากับเขาละก็พี่ต้องการคำอวยพรมากหน่อยละ” มาชาพูดตามหลัง
ขณะที่แอนเนทท์เดินลงบันไดมาชั้นล่างนั้น เธออดที่จะบอกตัวเองไม่ได้ว่า บางทีน้องสาวอาจจะพูดถูก การที่จะจับโจช ดีนให้อยู่มือจำเป็นจะต้องใช้โชคชะตาช่วยอยู่มากและโดยมิได้หยุดหันไปมองข้างหลังเลยที่เธอสาวเท้าผ่านพุ่มอะซาเลียซึ่งกำลังผลิดอกสีชมพูสวยใสข้างทาง มุ่งหน้าไปยังชายหาดบริเวณโรงแรมเหนือฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคแห่งนั้น
เธอเลือกใช้บาทวิถีทางเดินแทนที่จะย่ำลงไปในทราย เดินอ้อมห้องอาบน้ำที่เรียงรายอยู่ หัวใจพองโตอย่างน่าขันเมื่อมองเห็นภาพผู้ชายคนที่กำลังเดินจ๊อกกิ้งตรงเข้ามาใกล้ แขนเสื้อสเว็ตเตอร์ผูกพันอยู่รอบคอ มองเห็นกล้ามเนื้อตรงช่วงหน้าท้องที่แบนราบ ผ้าเนื้อสีน้ำตาลอ่อนชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ แอนเนทท์เห็นแวว “จำได้” จุดประกายอยู่ในดวงตาสีเข้มคู่นั้นตอนที่เขาลอบมองเธอ ท่าทางของเขามิได้บอกความแปลกใจเลยด้วยซ้ำที่เห็นเธอเข้า
“อากาศแจ่มใสมากเลยใช่ไหมคะเช้านี้?”
เธอร้องทักเขา และตั้งใจเปลี่ยนเส้นทางมิฉะนั้นจะต้องเดินผ่านเขาไปบนทางเท้า นั้นเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี
“ครับ ใช่” เขาตอบผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย แต่มิได้ลดความเร็วในการเดินลง