บทที่ 5 บุลลา
วิภพและกัลยาตัดสินใจส่งหลานสาวคนเดียวเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯกับครอบครัวของนาวินซึ่งเป็นน้องชายแม่ชีนงนุช แม่ชีพูดสั้นๆ เมื่อวิภาพาลูกสาวกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่หลังเกิดเหตุร้ายในคุ้มเคียงดาว
“ส่งหนูมุกไปอยู่ที่อื่นไปให้เร็วที่สุด”
วิภพเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เพราะเขารู้จักผู้เฒ่ายันต์ หมอยาประจำหมู่บ้านที่รักษาโรคด้วยสมุนไพรไทยและสามารถรักษาด้วยมนตร์พิธีรวมทั้งสามารถสื่อกับดวงวิญญาณได้ วิภพเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว เขาตัดสินใจส่งหลานสาวเข้ากรุงเทพฯทั้งที่เป็นห่วง
วิภาไปเยี่ยมลูกสาวทุก 2 อาทิตย์จนถึงวันนี้มุกตาภาเรียนจบปริญญาตรีพร้อมจะกลับสู่คุ้มเคียงดาวตามที่ปู่กับย่าต้องการแต่วิภาไม่ให้มุกตาภาเข้าใกล้บุลลา หากผู้หญิงใจร้ายคนนั้นรู้ว่ามุกตาภาเป็นใครความปลอดภัยของลูกสาวหล่อนไม่มีแน่
“วิภา ปู่กับย่าหนูมุกเสีย ให้หลานมากราบศพหน่อยก็ดีนะ” แม่ชีเอ่ยขึ้นเมื่อเดินออกมาถึงรถ
“หนูอยากให้มาค่ะแต่หนูกลัวค่ะแม่”
“กลัวบุลลาอย่างนั้นรึ”
“ค่ะ ผู้หญิงคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อทรัพย์สมบัติ หนูเป็นห่วงคุณรมกลัวว่ายัยบุลลาจะใช้เสน่ห์กับเขาจนตายค่ะ”
“ถ้าเขาต้องชดใช้กรรมกับบุลลาเขาก็ต้องเป็นไปตามกรรมนั้น”
“เราช่วยเขาไม่ได้เลยเหรอคะ”
แม่ชีไม่ตอบคำของวิภา ท่านก้าวเข้าไปนั่งในรถ วิภาก้าวตามเข้าไป หล่อนรู้คำตอบโดยไม่ต้องให้แม่ชีพูด รู้สึกเสียใจเมื่อคิดถึงสามี หล่อนยังรักเขาอยากช่วยให้เขาหลุดพ้นมนตร์ดำที่บุลลาทำใส่เขาแต่หล่อนจะช่วยอย่างไร
แม่ชีนั่งหลับตาภาวนาครู่เดียวโรจน์ โมรีและเฟื่องฟ้าก็นั่งอยู่ตรงหน้าท่าน พวกเขาก้มลงกราบท่าน
“มีอะไรจะบอกฉันหรือ” แม่ชีเอ่ยถาม
“นังบุลลาฆ่าผมกับเมียครับแม่ชี เราไม่ได้ตกบันไดเอง เราถูกวางยาพิษ นังบุลลาผลักเราตกบันไดตอนที่พิษกำเริบครับ”
โรจน์เล่าให้แม่ชีฟังเมื่อท่านสามารถรับรู้และเห็นพวกเขา เฟื่องฟ้าเอ่ยบ้าง
“ดิฉันถูกนังบุลลาวางยาค่ะ มันโยนความผิดให้คุณวิภา คุณวิภาไม่ใช่คนใจร้ายคุณวิภาเป็นคนดีค่ะ แม่ชีช่วยบอกตำรวจได้มั้ยคะ”
“บอกได้แต่ตำรวจจะเชื่อหรือ ไม่มีหลักฐานช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของวิภา อีกอย่างตำรวจจะหาว่าฉันบ้าบอพูดเพ้อเจ้อ พวกคุณไม่ไปเกิดเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“พวกเรายังไปเกิดไม่ได้ค่ะแม่ เหมือนมีกรรมที่ต้องจองเวรกับบุลลาค่ะ”
โมรีพูดขึ้น ดวงตาของหล่อนเศร้าหมอง หล่อนอยากช่วยวิภาแต่ไม่รู้จะติดต่อกับวิภาได้อย่างไร
“แม่ชีคะ ช่วยบอกวิภาให้ดิฉันได้มั้ยคะ”
“จะให้บอกอะไรล่ะ” แม่ชีมองหน้าโมรี
“ให้วิภาไปเอาสิตมณีในห้องพระมาเก็บไว้ อยู่ใต้ฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่สุดค่ะแล้วก็อย่าหย่าเด็ดขาด ถ้าวิภาหย่า นังบุลลาจับตารมจดทะเบียน สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของมัน มันผลาญจนไม่เหลือแน่ค่ะ”
“คุณยังห่วงสมบัติอยู่หรือคุณโมรี”
“ไม่ค่ะแต่สมบัติทุกชิ้นในคุ้มเคียงดาวต้องเป็นของยัยมุกหลานของเราคนเดียวเท่านั้นค่ะ”
“ฉันจะบอกให้นะแต่ถ้าสมบัติเหล่านั้นจะต้องเปลี่ยนมือล่ะคุณโรจน์คุณโมรียอมรับได้มั้ย”
“หมายความว่ายังไงครับแม่ชี”
โรจน์มองแม่ชี ไม่เข้าใจกับคำพูดของท่าน โมรีรอฟังคำอธิบาย แม่ชีพูดเช่นนี้หมายถึงอะไร คุ้มเคียงดาวจะตกเป็นของบุลลาอย่างนั้นหรือ
“ไม่มีความหมายหรอก ฉันพูดเผื่อไว้ ถ้าหนูมุกยังไม่ได้เป็นเจ้าของคุ้มเคียงดาววันนี้คุณจะพอใจหรือเปล่า”
แม่ชียิ้มระบายเต็มดวงหน้าอิ่มบุญของท่าน โรจน์มองภรรยา ใครจะเป็นเจ้าของคุ้มเคียงดาวถ้าไม่ใช่บุลลา
“ถึงเราไม่พอใจเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยคุ้มครองหลานเท่านั้นค่ะ”
“ฉันขอให้พวกเราทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมตามที่เคยทำตอนมีชีวิตอยู่ถึงจะไม่เต็มที่ก็ขอให้ทำเถอะนะฉันขออุทิศบุญให้พวกคุณทั้งสามจ้ะ”
วิญญาณของโรจน์ โมรีและเฟื่องฟ้าหายไป แม่ชีลืมตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้าอุทิศบุญกุศลให้กับพวกเขา
“วิบากกรรมของพวกคุณยังมีร่วมกับคนที่ยังอยู่หลายคน วิญญาณถึงไม่สงบ”
แม่ชีถอนใจยาวแล้วหลับตาลงอีกครั้ง วิภานั่งสมาธิอยู่ในห้องพระรู้สึกถึงความเย็นรอบกาย หล่อนลืมตามองไปรอบๆ เริ่มกลัวเมื่อคิดถึงโรจน์กับโมรี หล่อนกราบพระแล้วออกจากห้องรวดเร็ว แม้จะปฏิบัติธรรมตามแม่ชีนงนุชแล้วแต่ยังกลัว หล่อนไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงตัดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้
แม่ชีนงนุชมาพบวนราชกับลัลนาถึงบ้านสร้างความยินดีให้กับเจ้าของบ้านมากทีเดียว ลัลนาไปทำบุญที่วัด รู้จักแม่ชีเป็นอย่างดีและไปนั่งวิปัสสนาที่วัดหลายครั้ง หล่อนรู้จักวิภพ กัลยา โรจน์ โมรีและวิภาที่วัดพร้อมกัน ความคุ้นเคยค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนกลายเป็นญาติธรรมและเป็นเพื่อนสนิทไปโดยปริยาย
“เชิญนั่งก่อนค่ะ ดีใจค่ะที่แม่มาเยี่ยมถึงบ้าน ทานกลางวันที่นี่นะคะ”