Chapter 3 Involvement
เครื่องบินแลนดิ้งลงบนสนามบินคันไซใช้เวลาห้าชั่วโมงครึ่ง กว่าจะโหลดกระเป๋าอะไรเสร็จสรรพฉันกับลมจึงแวะมินิมาร์ทและกินบะหมี่สำเร็จรูปรองท้องไปก่อน
หลังจากนั้นเขาก็จัดการซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซ็นมุ่งหน้าไปเมืองเกียวโต เนื่องจากเขามาทำงานเวลาจึงค่อนข้างกระชั้นชิด และเราไม่ได้มีเวลาเที่ยวขนาดนั้น จึงได้แต่มองวิวนอกหน้าต่างของรถไฟแทน
“เธอเบื่อมั้ย”
“ไม่นะ ทำไมฉันจะต้องเบื่อด้วยล่ะเพราะที่ทำอยู่คือการทำงานและยังได้เที่ยวอีกด้วย” เขาที่เพิ่งวางสายไปฉันจับใจความได้ว่าคงกำลังคุยกับทางโรงแรมที่จะเข้าพัก
เมืองเกียวโตเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวส่วนมาก มีวัดที่คงความเป็นวัฒนธรรม ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียง มีหมู่บ้านโบราณและอีกมากมายจากที่ฉันไปหาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ตนะ แต่ไม่รู้ว่าลมจะมีเวลาไปได้มากสุดกี่ที่เพราะก็อย่างที่เขาบอก
“เดี๋ยวเสร็จจากนี้ฉันจะพาเธอไปเที่ยว”
“...” ฉันพยักหน้า ก่อนที่ลมจะเป็นฝ่ายชี้ไปนอกหน้าต่าง วิวตรงหน้าคือภูเขาฟูจิ ที่มองอย่างไรก็สวย ยิ่งใหญ่และดูมั่นคงแข็งแกร่ง การท่องเที่ยวก็เหมือนการบำบัดร่างกาย ได้ออกมาใช้ชีวิตที่นอกกรอบ ฉันที่วัน ๆ เรียน ทำงาน ไม่ค่อยมีโอกาสมาแบบนี้บ่อย ๆ พอได้มามันก็ไม่ได้แย่
“วันหลังค่อยมาด้วยกันอีกนะ ฉันจะพาเธอไปดูใกล้ ๆ เป็นไง”
“แล้วแต่นายสิ”
“เธอเป็นเพื่อนเที่ยวก็ต้องพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นหน่อยสิ ยิ้มบ้าง”
“หน้าฉันก็ปกตินะ”
“เธอสวยขนาดนี้ยิ้มสักหน่อยรับรองยิ่งกว่าคำว่าสวย”
“นี่นายคงไม่คิดจะจีบฉันใช่มั้ย” ลมชะงักและมองฉันพลางโบกมือไปมา
“...บ้าหน่า” เขาดูเลิ่กลั่กนะ ฉันรีบจ้องเขม็ง จนเขาส่ายหน้าเบา ๆ “ก็ดี” เขากลับไปให้ความสนใจกับสมาร์ตโฟนต่อเมื่อมีสายเข้า
“What’s up Bro” เขาพูดเสียงสดใสและคุยกันกับปลายสายเสียยืดยาวส่วนฉันก็มองวิวทิวทัศน์ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย มือก็หยิบสมาร์ตโฟนมากดส่งข้อความไปหาใครบางคน
‘อย่าลืมสัญญานะ’
เมื่อมาถึงที่พัก ลมเลือกโรงแรมแบบเรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นมีที่นอนบนพื้นซึ่งเขาจองไว้สองห้องนอน ฉันกับเขาเลยแยกกันเก็บสัมภาระ โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเกียวโตและอายุเก่าแก่กว่าหนึ่งร้อยปี ภายในโรงแรมเป็นอาคารสองชั้น คงความเก่าแก่แบบญี่ปุ่น บรรยากาศโดยรอบมีความสงบเรียบง่าย ธรรมดาแต่คงความงดงามของธรรมชาติที่กลมกลืนได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีสวนญี่ปุ่นสามารถถ่ายรูปไว้อัปโหลดหรือจะโพสต์เก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ฉันเน้นบรรยากาศมากกว่ารูปที่ถ่ายจึงมักแต่ถ่ายอย่างอื่น ยกเว้นตัวบุคคล
“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะพาเธอไปกินมื้อเย็นชุดพิเศษ” เขามาเคาะประตูและแวะมาบอก ตอนนี้ก็เกือบสี่โมงเย็น ฉันเสิร์ชดูสถานที่ท่องเที่ยวไม่ไกลมาก ก็สามารถแวะไปเดินเล่นได้
“นายจะไปทำธุระตอนไหน” ฉันถาม ส่วนลมดูนาฬิกาข้อมือ “อืม อีกไม่เกินสิบห้านาที”
“มันจะทันเหรอ”
“ฉันนัดเจอที่นี่”
“...”
“พวกเขาเป็นเจ้าของที่นี่”
“อ่อ งั้นนายไปเถอะ เดี๋ยวฉันว่าจะออกไปข้างนอกหน่อย”
“เธอไม่รอฉันหน่อยเหรอ”
“นายมาทำงานนะ ส่วนมื้อเย็นก็กินใครกินมัน”
“อือ ก็ได้ เจอกันเย็นนี้แล้วก็... อย่าไปไหนไกลล่ะ”
“อือ” บอกจบลมก็เดินกลับห้องพักข้าง ๆ เขาคงจะไปเปลี่ยนชุดอย่างเป็นทางการ ส่วนฉันก็กลับเข้ามาในห้องและเปลี่ยนชุดให้หนา ๆ เพราะข้างนอกอากาศเย็น
ฉันเดินออกมาจากโรงแรม ในขณะที่เดินผ่านประตูทางเข้าเดินสวนกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ใส่ชุดกิโมโน สิ่งที่สะดุดตาคือ เธอน่ารักเหมือนตุ๊กตาและเราสองคนเผลอสบตากันเข้า เธอก้มหน้าทักทายตามมารยาทส่วนฉันก็ค่อมศีรษะให้และรีบจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้น มีบอดี้การ์ดตามหลังเป็นพรวนคงไม่ใช่หนึ่งในแก๊งยากูซ่าอีกรายหรอกนะ
แต่เพราะฉันสะกิดใจแปลก ๆ จึงเดินตามไปแต่เว้นระยะห่าง ในขณะที่เขากำลังเข้าไปยังห้องอาหารแบบส่วนตัว ฉันก็เจอลมที่เดินออกมาต้อนรับทั้งสองคนอย่างเป็นธรรมชาติและเข้าไปข้างในพร้อมกัน
“...” ถึงจะยังไม่ได้เบาะแสอะไรแต่มันก็พอไปต่อรองได้กับเรื่องนี้
ฉันเดินเที่ยวในย่านดังที่คนพลุกพล่านและแวะร้านอาหารสั่งราเมงมากินต่อด้วยนั่งจิบชากับอากาศดี ๆ เพราะไม่ถึงกับหนาวเย็นมากนัก ถึงตอนนี้จะใกล้มืดแล้ว แต่ดูเหมือนสถานที่จะไม่ร้างราผู้คน ฉันเห็นคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติมากมายเดินกันขวักไขว่ และมีคนแต่งตัวเกอิชา ศิลปะชั้นสูงของญี่ปุ่น ดูหลากหลายและฉันชอบนะ
ไม่ถึงสองทุ่มฉันก็กลับโรงแรม แต่ขณะที่กำลังจะเดินมาถึงห้องพักก็เจอลมที่หน้าห้อง เขาดูกระวนกระวายใจจนฉันต้องเอ่ยถาม
“นายมีอะไร”
“ฉันโทรหาเธอเกือบสิบสายทำไมไม่รับ”
“โทษทีสงสัยฉันปิดเสียงแจ้งเตือนน่ะ”
เขาพยักหน้าหงึก ๆ
“อือ แล้วนี่เธอกินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว นายล่ะ”
“อือ งั้นพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าเพราะฉันจะพาเธอไปเที่ยว”
“อื้ม งั้นไปนะ”
“ฝันดี” เขาบอกเสร็จก็เดินกลับห้องพักข้าง ๆ แต่ไม่นานก็ต้องกลับมาเคาะประตูอีกรอบและมาพร้อมกับพนักงาน
“ห้องฉันดูเหมือนจะมีปัญหาอะ พนักงานสื่อสารกันผิดพลาดก็เลยปล่อยให้รับแขกทั้งที่เราเข้าพักแล้ว”
“เราต้องขออภัยด้วยนะคะ ทางเราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตลอดทริปนี้เองค่ะ สุมิมาเซ็น”
“เธอว่าไง”
“อือ ฉันไม่มีปัญหาหรอก แล้วที่นอน…” ฉันยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีพนักงานหนึ่งคนมาจัดที่นอนให้เรียบร้อย เป็นอันว่าฉันได้เพื่อนร่วมห้องหนึ่งคน และโค้งขอโทษขอโพยจนฉันทำตัวไม่ถูก
“เธออาบน้ำรึยัง”
“ยัง”
“งั้น เธออาบก่อนเลย อย่าลืมแช่น้ำอุ่นด้วยนะออกไปข้างนอกมาเดี๋ยวไม่สบาย”
เดี๋ยวนะแล้วเขาล่ะ ฉันควรจะแช่ก่อนลมเหรอ มันดูแปลก ๆ ไปไหม
“แล้วนายล่ะ?”
“ฉันจะไปแช่ข้างนอก ถ้าง่วงนอนก็ได้ ไปล่ะ”
“…”
ฉันง่วงมากเลยหลับโดยที่ไม่รู้ว่าลมกลับมาตอนไหน ห้องนี้ใหญ่มากและคงเป็นราคาที่แพงมาก เพราะการตกแต่งที่คงความเป็นยุครุ่งเรืองของเกียวโต โทนสีห้องเหลืองอมส้มให้รับรู้ถึงความอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วงทั้งที่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาว
07.23 น.
ฉันกับลมตื่นเช้ามาก และเราทานอาหารเช้าเป็นมื้อพิเศษที่เขาแนะนำเพราะมันคือ โอกาสลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวย ซุปมิโซะ ปลาซาบะย่าง ผักดอง ทามาโกะยากิ (ไข่ม้วน) อิ่มหนำสำราญสำหรับมื้อเช้ากับการทานกับลม
ตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกลดลงอย่างต่อเนื่อง เขาจะพาไปที่วัดและศาลเจ้าที่โด่งดังและใครที่มาที่นี่จะต้องแวะเวียนมาขอพร
“ข้างนอกอากาศค่อนข้างเย็นมาก ฉันว่า…”
“ฉันทนความเย็นได้ดี มาถึงทั้งที่ไปสักที่สองที่ค่อยกลับก็ได้ อุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว” ฉันบอกลมตอนที่เรารอรถมารับที่หน้าโรงแรม
“ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเดินเล่นแถว ๆ นี้แหละ”
“ได้สิ”
“เธอรู้มั้ยว่าทุกสถานที่มีเรื่องลึกลับ แม้กระทั่งที่นี่” ถ้าเขาหมายถึงเมืองนี้มันก็ไม่น่าแปลกนะ
“ก็เมืองเก่ามันก็ต้องมีเรื่องราวสิ”
“…”
“ฉันชอบที่นี่นะ ฉันเคยอ่านการ์ตูนเกี่ยวกับซามูไรดูเท่ดี”
“อือ รากตระกูลของเจ้าของโรงแรมที่เราพักก็มีเชื้อสายเก่าแก่จากซามูไรเหมือนกัน”
“นายเองก็ชอบเมืองเกียวโตเหมือนกันใช่มั้ยลม”
“เธอชอบ เรื่องอะไรที่ฉันจะไม่ชอบ”
“…”
“ไปยืนตรงนั้นสิ ฉันจะถ่ายรูปให้” ลมที่คล้องกล้องถ่ายรูประดับมือโปรบุ้ยหน้าไปทางวิวที่สามารถเห็นภูเขาลูกใหญ่เป็นแบ็คกราวด้านหลัง
“ฉันไม่ชอบถ่ายรูป”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิ ไม่ชินเวลาที่คนอื่นมาจับจ้อง”
“…” ลมกะพริบตาปริบปริบ แล้วยิ้มแย้มพลางก้มหน้าลงเพื่อปรับค่าอะไรสักอย่างบนกล้องของเขา
“มันจะมีคนแบบเธอสักกี่คน ที่สวยขนาดนี้แต่กลับไม่ชอบถ่ายรูป”
“คนที่ไม่ชอบถ่ายรูปไม่ใช่คนแปลก แต่คนที่แปลกคือคนที่ชอบถ่ายรูปคนอื่นเช่นนายเป็นต้น รูปทุกรูปต้องขออนุญาตฉันก่อนถ่ายนะ”
“…” เขายักไหล่เล็กน้อย แปลว่าไม่ยอมสินะ
“ฉันถ่ายรูปคนสวยนะ”
“ถ่ายวิวสิ สวยกว่าเยอะ”
“มาบ่อยละ อยากถ่ายอย่างอื่นบ้าง”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เก็บไว้เป็นความทรงจำไง บางอย่างภาพถ่ายก็เหมือนความทรงจำ”
“ก็ได้ แต่ฉันจะไม่เก๊กหน้านะ”
“เธอก็ทำตัวปกติ เดี๋ยวฉันแอบถ่ายทีเผลอเอง”
“ฉันก็รู้ตัวน่ะสิ” มาบอกว่าแอบถ่ายทีเผลอ โดยที่ฉันรู้ตัว มันทีเผลอตรงไหนกัน
แชะ แชะ แชะ
ระหว่างที่ฉันมองค้อนลมเขาก็รีบยกกล้องขึ้นถ่าย ทีเผลอแปลว่ารูปฉันต้องหน้าดูไม่ได้แน่เลย
“ลม!”
“ฉันถ่ายสวยน่า เดินไปได้แล้ว ตรงโน้นสวยมาก”
แชะ
ระหว่างที่ฉันหันหลัง เอียงหน้า เขาเก็บรูปทุกเม็ด โดยที่ไม่ยอมให้ฉันดู ตามใจเขาละกันฉันก็ไม่อยากดูแล้วแหละ
“เดี๋ยวถึงไทยฉันค่อยจะส่งรูปให้เธอนะ”
“อือ”
“หิวยัง”
“อือ”
“พูดน้อยจัง”
“ฉันเหนื่อย”
“เพิ่งเดินไม่เท่าไหร่เลย”
“ฉันรู้สึกว่าวันนี้เราจะต้องรีบกลับแล้วแหละ”
“ฉันก็ว่างั้น” ดูสภาพอากาศตอนนี้อีกประมาณสองชั่วโมงหิมะจะตกหนักมากและแผนที่จะเดินทางไปต่อคงลำบากน่าดู
“กลับกันเถอะ ไปกินอะไรที่โรงแรมละกัน”
“…” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย
โรงแรม XXX
“เธอกินอันนี้สิ อร่อยนะ” เขาคีบเนื้อวากิวที่ลวกมาจากหม้อสุกียากี้ และซาซิมิทั้งสดและอร่อยเจริญอาหารไปอีกมื้อ
“ขอบใจ”
“กินเสร็จเราเดินไปเล่นตรงโซนสวนมั้ย”
“หิมะตกหนักนี่”
“มันมีสวนจำลองในนี้ สวยมาก”
“ก็ได้นะ แล้ววันนี้เราจะทำอะไรดี” ฉันถาม
“เธอแช่ออนเซ็นยัง”
“แช่ด้วยกันสองคน?”
“อุ๊บ” เขาที่เพิ่งชิมเนื้อวากิวต้องปิดปากเพราะลมสำลักและไอจนหน้าดำหน้าแดง ฉันจึงรีบยกแก้วน้ำให้ดื่ม
“ค่อย ๆ จิบนะ”
“…” หน้าแดงก่ำเลยตลกชะมัด ฉันเก็บสีหน้าที่เผลอยิ้มมุมปาก
“เธอไม่ติด ฉันยังไงก็ได้” หลังจากเขาหายสำลักก็พูดหน้านิ่ง หมายความว่าอย่างไร อ๋อ ที่ฉันพูดค้างเอาไว้
“ได้ดิ” ฉันพยักหน้าช้า ๆ
“จะบ้าเหรอ แยกกันแช่ดิ ชายหญิงจะแช่ด้วยกันได้ไง ไม่ใช่ผัวเมียกันสักหน่อย” เขาบ่นอุบอิบพลางคีบเนื้อเข้าปาก จากนั้นก็คีบเนื้อให้ฉันใส่ชามตรงหน้า
“ขอบคุณ”
“อือ” เขารับคำ แต่สายตามองนั่นมองนี่ตามประสาคนชอบสังเกต
“จะได้สบายตัว พรุ่งนี้ก็จะกลับละ วันหลังฉันจะพามาอีก”
“อืม”
“มาน้อยไปหน่อย จริงสิเธอดื่มเหล้า ดื่มเบียร์เป็นมั้ย”
“…” ฉันเลิกคิ้วเมื่อคำถามของเขามันดูทะแม่ง ๆ
“เออว่ะ เธอมันสายดื่มอยู่แล้วนี่หว่า ขนาดบุหรี่ยังดูดเป็นมวน ๆ ทำไมกูถามไม่คิด” เขาถามเองตอบเองพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย
“ถามทำไม”
“ตอนเย็นดื่มเป็นเพื่อนหน่อย”
“จะไม่เป็นไรเหรอ”
“นิดเดียวน่า”
“ตามใจ”