Chapter 2 Try
ก่อนเวลาเดินทาง 2 วัน
ฉันไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เพราะมันคืองานและไม่ได้คิดว่าต้องไปเที่ยวกับเขาจริง ๆ จุดประสงค์ทุกอย่างมันเลยทำให้ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นเลยสักนิด
แต่เมื่อเช้าเขากลับทักมาบอกว่ามีเรื่องกะทันหันนิดหน่อย มาช่วยจัดกระเป๋าที่บ้านได้ไหม
ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ คนที่เพิ่งเซ็นสัญญากันไปและสีหน้าท่าทางไม่ได้บอกว่ารู้สึกอะไรกับฉันเชิงชู้สาวเลยจะทักมาชวนให้ไปจัดกระเป๋าที่บ้าน
จริงสิฉันมาสังเกตสักพักพบว่าลมเป็นคนที่ภายนอกเหมือนไม่แยแสอะไรเลย แต่บางครั้งก็มักทำตัวประหลาดเหมือนวันนี้ที่สั่งให้ฉันมาช่วยจัดกระเป๋าในบ้าน ไม่สิบ้านของเขามันเรียกว่า อาณาจักรมากกว่า เขาเกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง และกว่าที่ฉันจะเข้ามาได้ต้องเสียเวลาแจ้งเรื่องให้เจ้าของบ้านทราบ ถึงเขาจะบอกว่าห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน แต่ลมคงไม่รู้ว่าตัวเองโด่งดังเป็นที่รู้จักขนาดไหนในมหาวิทยาลัย
และไอ้คุณชายที่นัดฉันมากลับยังไม่ยอมตื่น แต่คนที่อนุญาตแทนคือคุณปู่ของเขา และตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดและอึดอัดสุด ๆ ไปเลย เพราะเหมือนท่านกำลังสแกนฉันทุกอิริยาบถ
“เจ้าลมยังไม่ตื่นหรอกหนู ว่าแต่หน้าคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย…” คุณปู่ของลมเป็นชายร่างสูงที่ยังดูแข็งแรงและผมที่หงอกเต็มศีรษะ มีไม้เท้าคู่ใจข้างกายและฉันก็มานั่งรอเขาในเวลาแปดโมงครึ่ง กับชายสูงวัยที่กำลังครุ่นคิดและมือซ้ายที่ลูบคางที่มีเครายาวสีเดียวกันกับผม
“ไม่มั้งคะ คือหนูเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก” ฉันตอบ
“เฮ้อ ปู่คงจะเลอะเลือนไปจริง ๆ นั่นแหละ”
“…”
“ไปปลุกเจ้าลมแล้วใช่มั้ย” คุณปู่เห็นว่ามีคนไปปลุกเขาจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะให้แม่บ้านนำน้ำเปล่าและคุกกี้มาเสิร์ฟให้ฉันที่กำลังคิดว่าจะแอบกลับไปตอนนี้หรือนั่งรอลมต่อไป
“งั้นปู่ไปล่ะ เดี๋ยวจะอึดอัดเปล่า ๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะหนู ชื่ออะไรนะปู่ลืม”
“เคทค่ะ”
“อืม ปู่ไปแล้วนะ เดี๋ยวเจ้านั่นจะหาว่าปู่มาคอยจับผิดแฟนมัน”
“…” และฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะไม่รู้จะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่อมันคงเป็นครั้งแรกและคงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เข้ามาในอาณาจักรตระกูลภูวรินทร์โชติรัตน์แห่งนี้อีก
คุณปู่ของลมออกไปได้สักพักบ้านก็กลับมาเงียบสงบ เหมือนฉันอยู่ตัวคนเดียวกับบ้านสไตล์โมเดิร์นที่มีรูปแบบของตัวตึกเป็นตัวยู และข้างหน้ามีสระน้ำขนาดพอดี แต่ละหลังไม่มีรั้วกั้นและสามารถเดินทะลุหาถึงกันได้สบาย
“ฮ้าว มาแล้วเหรอ” เสียงทักทายจากบุคคลต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องมานั่งรอบนโซฟาและใช้เวลาอยู่กับพื้นที่ส่วนตัวของคนที่ระบุในสัญญาไว้ดิบดี
ร่างสูงโปร่งเดินลงมาจากบันไดหินแกรนิตด้วยเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน สภาพแปลกตาจนฉันต้องดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาใช่คนหน้าหล่อคนเดียวกันที่เห็นในมหาวิทยาลัยหรือไม่
“ไม่เคยเห็นคนเพิ่งตื่นรึไง”
“เคย”
“แล้วไมมองฉันแบบนั้น”
เขาเดินเลยไปยังโซนห้องครัวเล็ก บาร์แก้วคั่นกลาง และลมกำลังเปิดตู้เย็นเหมือนคนกำลังคุ้ยหาอะไรสักอย่าง
“ไม่มีอะไรกินเลยว่ะ”
“โอ๊ะ เธอมีคุกกี้ได้ไง คุณปู่มาหาฉันเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม
“อืม”
“งั้น เดี๋ยวฉันอาบน้ำแป๊บค่อยไปหาซื้ออะไรมากิน”
“…”
“แต่เดี๋ยวนี้มันมีพวกดิลิฟเวอร์ลี่แล้วนี่หว่า…สั่งไม่เป็นด้วยสิ” เขาพูดงึมงำตอนท้ายและขยี้ผมที่ยุ่งและฟูจนมันยิ่งไปกันใหญ่
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายอยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้”
“ไม่มีอะไรก็ได้”
“เอาตามสั่ง แต่ก็อยากกินเบอร์เกอร์ว่ะ”
“กะเพราไข่ดาวมั้ย” ฉันเสนอ
“ฉันไม่ชอบกินไข่ดาว” เขาพูดหน้าตาย
“เอาเป็นสปาเกตตีคาโบนาร่าแล้วก็ออมเล็ตก็ได้ เธอกินไรสั่งได้เลยนะ” เขารีบบอกและเตรียมจะขึ้นไปข้างบนบ้าน
“เดี๋ยว!”
“?”
“ที่อยู่บ้านของนายล่ะ”
“เออว่ะ มา เดี๋ยวฉันพิมพ์ให้” เขาแย่งโทรศัพท์จากฉันไปและพิมพ์แป๊บเดียวจากนั้นก็วิ่งขึ้นไปทำธุระส่วนตัวเกือบสามสิบนาที ฉันกลับมานึกขึ้นได้ทำไมเขาถึงไม่เดินไปบ้านคุณปู่และขอไปกินกับท่านล่ะ จะมาเสียเวลาสั่งอาหารทำไมกัน แล้วไอ้การส่งข้อความมาบอกให้ช่วยเตรียมกระเป๋าให้หน่อยมันอยู่ในส่วนของสัญญาตรงไหนกัน
นี่มันคล้ายจะเหมือนทาสรับใช้ไปแล้วนะ
แต่เพื่อเป้าหมายฉันจะยอม ๆ ไปก่อน ระหว่างที่เขากำลังอาบน้ำฉันจึงเริ่มสำรวจบริเวณบ้านและยังมีห้องห้องหนึ่งที่มันดึงดูดให้ฉันต้องเดินเข้าไป แต่กุญแจดันล็อก
“บ้าชิบ”
“เคท ใกล้มารึยัง” เวร เขากำลังจะลงมาฉันจึงต้องรีบมานั่งตรงโซฟาที่เดิมและทำทีนั่งเช็คสถานะการจัดส่ง ทันใดนั้นก็มีคนโทรเข้ามาจึงรู้ว่าเป็นเดลิเวอรี่ที่ฉันสั่งอาหารให้ลม
“มาแล้ว เค้าอยู่ข้างนอกซีเคียวไม่อนุญาตให้เข้ามาจะให้ฉัน…”
“เดี๋ยวฉันออกไปเอง เธอรออยู่นี่แหละ”
“โอเค”
ลมใช้เวลาออกไปรับอาหารนานเกือบห้านาที จนฉันต้องตัดสินใจว่าจะแอบเดินไปห้องลึกลับห้องนั้นอีกไหม แต่เสียงดังกุกกักตรงหน้าบ้านก็ทำให้ฉันต้องพับเก็บแผนการนี้เอาไว้ เขาถือถุงอาหารและมืออีกข้างก็กวักมือเรียกฉันให้มายังโต๊ะอาหาร
“เธอมากินด้วยกันดิ กินคนเดียวมันแปลก ๆ ว่ะ”
“…” ฉันส่ายหัว
“เร็ว ๆ”
“ก็ได้”
ระหว่างที่ฉันหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา ลมก็เลื่อนออมเล็ตสีเหลืองน่ากินซึ่งเป็นของโปรดของฉันมาให้ซึ่งเขารู้ได้อย่างไรว่าฉันชื่นชอบเมนูนี้มากเป็นพิเศษ ก็แปลกดี เป็นการทานอาหารกับคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนไปสักทีเดียว ถือว่าเราเข้ากันได้ดีในระยะเริ่มต้น
เมื่อกินเสร็จฉันก็เตรียมจะล้างจาน แต่ลมส่ายหน้า
“เดี๋ยวแม่บ้านจะมาจัดการเอง”
“อ๋อ”
“ปะ ไปกัน”
“ไปไหน!?”
“ไปช้อปกันไง”
“เดี๋ยวนะ นายแค่บอกให้มาช่วยเก็บกระเป๋า”
“ก็ใช่ไง แต่ก่อนเก็บก็ต้องช้อปปิ้งกันก่อน ไปได้แล้ว”
“…” เชื่อเขาเลย เขานี่มันเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่คิด แล้วไอ้คนพูดน้อยในความคิดของฉันที่ได้เจอเขาครั้งแรกถูกกลบฝังจนมิดเพราะลมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เขาก็ไม่ได้พูดมากหรอกนะ แต่…ไม่รู้สิ
เขาดูผ่อนคลายและดูให้ความไว้วางใจเกินกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน หรือฉันจะคิดมากไปเอง
“ช่วงนี้เธอสบายดีใช่มั้ย”
“…”
“หมายถึง เอ่อ เรื่องสุขภาพอะไรงี้”
“ถามทำไม”
“ตอบมาเถอะหน่า” ลมเคาะพวงมาลัยระหว่างรอไฟเขียว
“ก็ปกติ”
“…”
“แล้วนายไปญี่ปุ่นทำไมเหรอ”
“ธุระแล้วก็เที่ยวพักผ่อน”
“อ๋อ”
“ถามทำไม” เขาแอบกวนฉัน
“เปล่า แค่อยากรู้เฉย ๆ”
“อีกสิบนาทีก็ถึงละ”
“อาฮะ”
และฉันก็เงียบ เพราะกำลังหาวิธีชวนคุยเกี่ยวกับการไปเที่ยวที่มีนัยยะแอบแฝง
“จริงสิ เมื่อเช้าปู่ของนายพูดกับฉัน”
“พูดอะไร”
“เขาบอกว่าฉันหน้าคุ้น ๆ”
“คุณปู่แกหลง ๆ ลืม ๆ ชอบทักคนอื่นไปเรื่อยอย่าถือสาท่านเลยนะ”
เขาบอกพร้อมมองถนนคล้ายกับคุยเรื่องธรรมดาไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ ฉันจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ห้างสรรพสินค้า XXX
ลมพาฉันเดินตะลอนไปทั่ว และเขามักจะแวะแบรนด์เนมเกือบทุกร้าน เขาซื้อเสื้อสเวตเตอร์ และยังแวะดูเครื่องประดับและทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนซื้อให้ฉัน สรุปที่เขาบอกว่าให้ฉันมาช่วยเก็บกระเป๋ามันหมายถึง กระเป๋าเดินทางของฉันไม่ใช่ของเขา เพราะช่วงนี้ญี่ปุ่นเป็นช่วงฤดูหนาวและฉันได้ยินเขาจะต้องไปคุยเรื่องงานเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัว
“ตกลงว่านายมาซื้อของให้ฉัน?”
ฉันมองถุงช้อปปิ้งมากกว่าสิบใบที่เต็มไม้เต็มมือเขา ใครที่เดินผ่านเข้ามาต่างซุบซิบกันเหมือนกับว่าฉันคือคู่รักที่กำลังมาเดตกันและฝ่ายชายกำลังเปย์ฝ่ายหญิงหนักมาก ซึ่งตอนนี้ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะ
“นายให้ฉันมากขนาดนี้หวังอะไรรึเปล่า” ฉันเอ่ยถามขณะที่กำลังจะขึ้นรถกลับ ฉันกับลมใช้เวลาสี่ชั่วโมงและฉันเริ่มหิวข้าวแล้วล่ะ เขาจึงชวนไปกินปิ้งย่างติดแม่น้ำเจ้าพระยา คนรวยแบบเขาก็กินแบบนี้เป็นด้วยความรู้ใหม่เลยนะ หลังจากนั้นลมเป็นฝ่ายมาส่งฉันที่คอนโด ฉันบอกแค่ครั้งเดียวเขากลับจำทางได้แม่นโดยไม่ต้องใช้จีพีเอสรอบรู้แม้กระทั่งเรื่องเส้นทาง
“หวังอะไร ฉันตอบแทนที่เธอจะไปเที่ยวกับฉันเป็นครั้งแรก ไม่ดีหรือไง”
“ต่อให้นายหวัง ฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ”
“ก็อย่างที่ฉันบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร”
“ก็ดี”
“พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมารับ”
“อือ”
ฉันเตรียมกระเป๋าเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อเช้าเพราะฉะนั้นจึงมีเวลาทำนั่นทำนี่ ลมไปแค่สามวันสองคืน เพราะหลัก ๆ เขาเน้นคุยธุระ ส่วนฉันแค่ติดสอยห้อยตามแบบนั้นคงไม่ผิดนัก ก็อย่างว่างานที่ง่ายขนาดนี้เงินก็ดีใครมันจะไม่รับไว้
“ฮัลโหล”
ปลายสายโทรเข้ามาในช่วงที่ฉันกำลังแต่งตัวเตรียมจะนอน จึงเปิดลำโพงเพื่อจะได้คุยสะดวก
“พรุ่งนี้ต้องไปญี่ปุ่นแล้วนี่ ขอให้สนุกนะ” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่สามารถเดาได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อือ โทรมาแค่นี้?”
“พี่โทรหาไม่ได้รึไง”
“บาย” ฉันกดตัดสายทันที สาระไม่มีก็ไม่ต้องคุยให้ยืดยาวเพราะฉันขี้เกียจคุย แต่ขณะที่เตรียมจะนอนก็มีเบอร์โทรเข้ามาอีก สรุปฉันจะได้นอนไหมเนี่ย
“อือ” ฉันล้มตัวนอนและปิดไฟในห้องนอน เปิดลำโพงเหมือนเดิมเพียงแต่ครั้งนี้หลับตานอนฟังว่าคนปลายสายต้องการคุยอะไรกับฉันกันแน่ ทั้งที่เพิ่งจากกันหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าแท้ ๆ
“เสียงเหมือนคนเหนื่อย ๆ”
“ฉันเดินเป็นเพื่อนนายทั้งวันนะลม”
“เออว่ะ ฉันลืม”
“นาย…เหงาเหรอหรือไม่มีเพื่อนคุยก่อนนอน ให้ฉันกล่อมมั้ย”
“เธอแม่ง โคตรพูดตรง ฉันแค่จะโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ฉันมีธุระคงไปรับเธอไม่ได้ เดี๋ยวจะมีคนรถไปรับ เจอกันที่สนามบินโอเค้”
“อ๋อ ได้” ฉันนึกว่าเขาไม่มีเพื่อนจริง ๆ แต่คนหน้าตาโดดเด่นแบบเขาไม่น่าจะเป็นแบบที่ฉันคิดหรอก ฉันแค่พูดเล่น พูดหยอกเล่นตามสไตล์ฉันมันค่อนข้างแรงไปหน่อย
“ฉันจะคิดว่าเธอเล่นมุกนะ มุกกล่อมนอนเนี่ย ฮาดี ฉันชอบ” เขาดูชอบใจใหญ่จนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่ามุกมันเจ๋งจริงหรือเขาแค่แก้สถานการณ์ตรงหน้า
“…”
“ฉันไม่กวนเธอแล้ว ฝันดีนะเคท”
“ฝันดี”
ฉันรู้สึกว่ากำลังอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่เขาตัดสายแล้วฉันก็ใช้มือขยี้ผมตัวเองและนอนกลิ้งไปมากว่าจะหลับได้ก็เกือบชั่วโมง