๗ เขาเป็นของฉัน (๑)
๗
เขาเป็นของฉัน
วันเดินทางกลับเมืองหลวงมาถึงและลูกชายคนเล็กของผู้ว่าราชการจังหวัดก็มารอที่หน้าโรงแรมตั้งแต่เช้าโดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปส่งเพื่อนของบิดา ทว่าแท้จริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีถึงเหตุผลที่ทำให้ธนากรมายืนรอแบบนี้ คงไม่พ้นคุณหนูของบ้านพานิชสุทธิกุลผู้ที่เขาถูกตาต้องใจเสียเหลือเกิน
มือหนาเอื้อมไปรับกระเป๋าของหล่อนมาใส่หลังรถตู้พร้อมบริการคนอื่นด้วยรอยยิ้มฉาบใบหน้าต่างจากปารัชที่เดินเอาข้าวของตัวเองไปไว้โดยไม่แม้แต่จะชายตาแลชายหนุ่มที่กำลังจะยื่นมือไปรับของมาวางไว้ให้
“ขอบใจธามมากนะที่อุตส่าห์สละเวลาไปส่งลุงที่สนามบิน” คนฟังส่ายหน้าพลางหัวเราะเล็กน้อย
“ผมยินดีมากครับ ยังไงคุณลุงก็สนิทกับพ่อ ผมก็สนิทกับน้องนีร เหมือนครอบครัวเดียวกันนั่นแหละครับ” ปารัชที่ได้ยินเกือบถอนหายใจเสียงดังอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ลอบมองใบหน้าหวานของหญิงสาวที่อมยิ้มเล็กน้อยก็เพิ่มความหงุดหงิด
รู้สึกดีมากหรือไงถึงต้องยิ้มอ่อยขนาดนั้น
พึมพำในใจก่อนจะขึ้นรถตู้ไปนั่งข้างหลังก่อนใครเพื่อน ไม่ค่อยชอบหน้าชายหนุ่มลูกของผู้ว่าราชการจังหวัดคนนี้สักเท่าไหร่ สายตาแพรวพราวคงเจ้าชู้น่าดู มีอย่างที่ไหนเจอสาววันเดียวชวนไปเที่ยวสองต่อสองเสียแล้ว
นีรนาราก็เหลือเกินไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ใครจะลากมาหรือลากไปก็ได้ คิดแล้วยิ่งปวดหัวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงฟัง
“ถ้าพี่ลงไปกรุงเทพน้องนีรจะเป็นไกด์พาเที่ยวได้ไหม” เมื่อสบโอกาสเห็นคนอื่นขึ้นรถกันหมดจึงรั้งแขนเล็กเอาไว้
“พี่ธามมีเพื่อนเยอะแยะออกค่ะ” ตอบเลี่ยงเพราะไม่อยากไปไหนกับเขาสองต่อสอง หล่อนไม่ต้องการให้ปารัชมาดูถูกเหมือนเมื่อวานอีก
“เยอะอะไรกัน เพื่อนพี่น้อยจะตาย ถ้าน้องนีรจะสงเคราะห์คนไม่มีเพื่อนขอเบอร์ติดต่อได้ไหมครับ” ใบหน้าหวานส่งยิ้มแหยให้เขาแล้วเหลือบเข้าไปมองในรถ โดยสายตาจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงส่วนกลางพลางหลับตาลงเหมือนไม่สนใจเธอสักนิด
“ค่ะ” จำใจต้องรับโทรศัพท์เขามากดเบอร์ตัวเองให้จนธนากรยิ้มแก้มปริ ดีแล้วที่ตื่นเช้ามาเพื่อส่งครอบครัวพานิชสุทธิกุลไปสนามบิน ถือว่าทำตามแผนสำเร็จจนอยากจะร้องไชโยแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ให้มากที่สุด แค่นี้บิดาของเขาก็ล้อตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว
ปารัชลืมตาขึ้นมองออกไปที่ข้างนอกรถยังเห็นสองคนนั้นพูดคุยกันโดยที่ไม่มีใครเอ่ยขัดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ เห็นคุณเอกพงศ์คุยกับภรรยาที่นั่งข้างกายเขาก็อยากจะถามท่านเหลือเกินว่าลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานยืนคุยกับผู้ชายคนอื่นแล้วยิ้มหน้าบานแบบนี้มันเหมาะสมแล้วเหรอ
“ไปกันหรือยังลูก” จนในที่สุดคุณผู้หญิงของบ้านก็เอ่ยขึ้นและร่างบางจึงหันมาพยักหน้าพร้อมขึ้นมาบนรถเสียที
“เดี๋ยวผมไปด้วยนะครับ” ธนากรขึ้นมาบนรถแล้วเลือกนั่งที่ว่างข้างปารัช ทำเอาคนซึ่งไม่พอใจอยู่ลึกๆ แสร้งหลับจะได้ปิดการรับรู้ทุกอย่าง
อารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลยวันนี้และระหว่างทางก็ได้ยินบทสนทนาของลูกชายผู้ว่ากับลูกสาวท่านทูตคุยกันตลอดเวลาจนต้องเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น ใบหน้าคมราบเรียบติดบึ้งตึงจนถึงสนามบิน
“ไว้พี่จะโทรไปหานะครับ” มาถึงสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ก็ยังไม่วายล่ำลากันอีกรอบ ไม่รู้จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา
“ค่ะ” คนอื่นเดินไปเช็คอินแล้วเหลือแต่นีรนาราที่ติดพันคุยกับหนุ่มเหนือไม่ยอมไปสักทีจนปารัชต้องมาจับแขนเล็กเอาไว้
“ขอบคุณที่มาส่ง ขอตัวนะครับ” ร่างสูงเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขาไม่เปิดโอกาสเพราะจูงกึ่งลากหญิงสาวออกจากพื้นที่ตรงนั้นแล้ว
ไม่วายผู้ชายช่างตื้อก็ยังโบกมือลาพร้อมส่งยิ้มหวานหยดให้จนแทบเลี่ยน คนของเขาก็เหลือเกินไม่มีท่าทีสงวนตัวสักนิดตอบรับการกระทำของฝ่ายนั้นไปเสียหมด
มันน่าหงุดหงิดจริงๆ!
“นีรเจ็บนะพี่ปราน” ได้ทีก็สะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา เลิกแขนเสื้อขึ้นดูก็เห็นว่าเป็นรอยแดง
“ก็เห็นคุยอยู่นั่นไม่มาสักที เดี๋ยวก็ตกเครื่อง” พวกเขามาต่อคิวเช็คอินโดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนเดินเข้าเกทไปก่อนหน้าแล้ว ปล่อยหนุ่มสาวให้ได้อยู่ตามลำพัง
“ทำไมขี้โมโหจังเลย เป็นวันนั้นของเดือนเหรอคะ” หยอกล้อหน้าเป็นทำเอาดวงตาคมต้องตวัดมามองแต่ยังไม่ทันจะพูดร่างบางก็เดินไปหน้าเคาท์เตอร์เสียก่อนจึงจำต้องเงียบเสียงไว้ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าเป็นอะไรทำไมถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพียงแค่เห็นนีรนาราคุยกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตา ถ้าไม่คิดอะไรด้วยก็คงจะรู้สึกเฉยชาไม่ใช่หรือ
แต่นี่กลับไม่ใช่..
บ้าไปแล้วไอ้ปราน อยู่ดีๆ จะมาหลงรักได้ยังไงทั้งที่เกลียดขนาดนั้น อีกอย่างนิสัยของนีรนาราก็ไม่คู่ควรที่จะมอบความรู้สึกดีให้สักนิด
ร้ายขนาดนั้น แค่เห็นก็ขยาดแล้ว
“เชิญค่ะ” ตื่นจากภวังค์แล้วเดินไปยื่นบัตรประชาชนให้พนักงาน เหลือบมองร่างเล็กที่เดินไปก่อนตัวเองก็ส่ายศีรษะทันที
ถึงจะสวยแต่นิสัยร้ายขนาดนั้นก็ไม่ไหว เข้าตำราสวยแต่รูปจูบไม่หอม
แต่เรื่องน่าหนักใจกว่านั้นคือเขาดันตอบตกลงแต่งงานกับเธอไปแล้ว จะคืนคำตอนนี้ก็ไม่ได้ หลายคนถึงได้บอกว่าก่อนพูดให้คิดเสียก่อน เพราะเมื่อพูดแล้วคำพูดเหล่านั้นจะกลายเป็นนายเราทันที
“ทำไมพูดไม่คิดวะไอ้ปราน” พึมพำกับตัวเองจนพนักงานที่ยื่นบัตรโดยสารให้ชะงักไปครู่หนึ่ง
“คะ” เขาทำหน้าเหรอหลาเมื่อคนตรงข้ามมีสีหน้าเหมือนสงสัย
“อ้อ ผมพูดคนเดียวครับ ขอบคุณครับ” ชี้แจงว่าเมื่อสักครู่นี้เขาแค่พึมพำกับตัวเองเท่านั้นไม่ได้หมายจะคุยกับใครทำให้หล่อนพยักหน้าแกนๆ เริ่มกังวลว่าผู้ชายคนนี้ปกติดีหรือเปล่า
“พี่ปรานทำไมช้าจัง นีรรอตั้งนาน” เข้ามาข้างในจุดตรวจของก็เห็นหล่อนยืนรอก่อนแล้วจึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ไม่ได้ขอให้รอ” เขาวางข้าวของที่มีติดตัวลงในตะกร้าแล้วเดินนำเธอไปในขณะที่หญิงสาวตามติดไม่ห่าง
“ก็นีรอยากรอ จะได้ไปพร้อมกันไงคะ” คนตัวเล็กยังคงหน้าระรื่นเหมือนเดิมไม่ได้มีวี่แววจะร้ายเหมือนที่ผ่านมาจนอดนึกถึงอดีตครั้งที่หล่อนยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งตามพี่ชายคนเดียวไม่ได้
ถึงจะมีน้องชายแต่ก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ต่างประเทศทำให้นีรนาราต้องอยู่ที่ไทยคนเดียวโดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลทุกอย่าง ทั้งคุณอาสารัชที่มาหาทุกวันพร้อมกับพี่ปรานซึ่งต้องไปโรงเรียนด้วยกันอยู่แล้ว คุณเอกพงศ์ส่งเสียค่าเรียนให้ทนายหนุ่มจนจบมัธยมปลาย ส่วนมหาวิทยาลัยนั้นเขาขอทุนเรียนเพราะไม่ต้องการรบกวนท่านไปมากกว่าที่เป็น
แค่ทุกวันนี้ก็ทดแทนบุญคุณกันไม่หมดจนต้องใช้ร่างกายเข้าแลกด้วยการแต่งงานกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของเอกอัครราชทูต ที่น่าหนักใจมากกว่านั้นคือจะบอกปรางกัญญาอย่างไรดีในเมื่อความรักของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น
และหญิงสาวไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เป็นเขาเองที่ดึงหล่อนเข้ามาเกี่ยวในวังวนครั้งนี้จนยากจะหาทางแก้ปมซึ่งค่อยรัดแน่นขึ้นจนหายใจแทบไม่ออก
นีรนารามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินไปก่อนโดยไม่เอ่ยอะไรอีก หล่อนหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้ววิ่งตามไปคว้าแขนหนามากอดเอาไว้พลางส่งยิ้มแสนหวานให้เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะโดนดุอีกครั้ง
“กลัวหลง” ข้อแก้ตัวนั้นฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด และถึงจะพูดอะไรหล่อนก็ไม่ฟังอยู่ดีปารัชจึงเลือกจะเงียบแล้วเดินไปรอที่เกทก็เห็นผู้ใหญ่ทั้งสี่นั่งอยู่ก่อนถึงได้เดินไปสมทบโดยยอมให้คนตัวเล็กกอดแขนอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อย
คุณเอกพงศ์มองสองหนุ่มสาวพลางอมยิ้มอยู่คนเดียว ท่านมีความสุขที่ได้เลือกคู่ครองเหมาะสมให้แก่บุตรสาวที่รัก ปารัชเองถึงไม่ได้มีฐานะใหญ่โตหรือหน้าตาทางสังคมแต่ก็เหมาะสมกับนีรนารามากที่สุดแล้ว ด้วยแววตาเข้มแข็งทั้งยังมั่นคงทำให้คนที่ผ่านโลกมามากไว้ใจที่จะฝากชีวิตคนที่ตัวเองรักไว้กับทนายหนุ่มผู้นี้
“กลับถึงบ้านอย่าเพิ่งไปไหนนะ มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” ประมุขแห่งบ้านพานิชสุทธิกุลเอ่ยกับคุณสารัชซึ่งก็ตอบรับทันที
ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นเครื่องมาลงที่เมืองหลวงของประเทศไทย มุ่งตรงกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ทันที แต่ด้วยรถที่ติดทำเอาใช้เวลาอยู่บนท้องถนนมากกว่าที่คาดเดาเอาไว้ จนท่านทูตรู้สึกคิดถึงการเดินทางของเมืองที่ตนเองประจำการอยู่เพราะค่อนข้างสะดวกสบายในการไปไหนมาไหน
รถคันใหญ่จอดยังหน้าบ้านทุกคนก็ลงจากรถด้วยความเหนื่อยอ่อน แม่บ้านต่างพากันเข้ามาขนกระเป๋าช่วยกันโดยมีปารัชคอยดูแลอีกที เขาหยิบข้าวของของตัวเองและบิดาแยกไปไว้บนรถตนที่จอดแน่นิ่งตรงโรงรถเสียหลายวัน
“มีเรื่องอะไรครับ” เมื่อมานั่งยังห้องรับแขกที่ถูกตกแต่งด้วยสีทองเป็นส่วนใหญ่ เครื่องเรือนเต็มไปด้วยแบรนด์หรูที่ประมุขของบ้านชอบ ทั้งแชนเดอเลียราคากว่าแปดหลักห้อยลงมาพร้อมเปล่งแสงสีนวลงามตา ทว่านั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจไปมากกว่าประเด็นที่คนมากด้วยวัยจะพูด
ปารัชเดินตามมานั่งที่โซฟาเดี่ยวเป็นคนสุดท้ายและรู้ดีว่าเรื่องที่คุณเอกพงศ์จะพูดนั้นคือเรื่องอะไรและสำคัญกับชีวิตของตนเองอย่างไร
“นีรจะว่ายังไงลูกถ้าพ่อให้แต่งงานกับพี่ปราน”
คำถามของท่านสร้างความตกใจแก่บุตรสาวจนเผยอปากเล็กน้อย เมื่อตั้งสติได้ค่อยแย้มยิ้มออกมาพลางพยักหน้าขึ้นลงราวตุ๊กตาเด้งดึ๋งหน้ารถสร้างความรำคาญทางสายตาให้แก่ทนายหนุ่มยิ่งนัก
“แต่งค่ะ” ตอบเสียงฉะฉานก่อนจะหันไปหาปารัชที่นิ่งเงียบไม่พูดจาพลันใบหน้าหวานก็เกิดคำถามทันที
“แล้วพี่ปราน..”
ถ้าเธอตอบตกลงแต่เขาไม่ ทุกอย่างก็จบ
“ว่ายังไงปราน” นั่นไม่ใช่การถามครั้งแรกแต่ท่านต้องการให้เขาย้ำคำตอบที่บอกไปเมื่อวานเพื่อทุกคนในที่นี่จะได้รับรู้ทั่วกัน
ปารัชอยากถอนหายใจแต่ก็จะต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ จะโทษใครได้เล่าที่ทำให้เรื่องมันมาถึงจุดนี้นอกจากตนเอง
“ผมจะแต่งงานกับ..นีรครับ” สิ้นคำตอบร่างบางก็กระโดดจนตัวลอยอย่างไม่เก็บอาการดีใจสักนิดจนคนเป็นพ่อต้องปราม
“เบาหน่อยหนูนีร” หล่อนจึงได้สติแล้วนั่งลงวางมือบนตักแต่ดวงตาก็มองเขาด้วยประกายแห่งความดีใจจนปิดไม่มิด หัวใจดวงน้อยพองโตเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ คิดว่าบิดาล้อเล่นเรื่องนี้เสียอีกแต่ท่านก็ทำให้มันเกิดขึ้นจริง
มันเกินความคาดหมายของหล่อนไปมาก ถึงจะวางแผนเอาไว้แต่ถ้าปารัชไม่ตกลงทุกอย่างก็คงจบ แล้วเหตุใดคนที่มีท่าทีเฉยชาถึงได้ยอมแต่งงานด้วย มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านี้หรือเปล่า
แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่เพราะสิ่งที่หล่อนสนใจในตอนนี้ก็คืองานแต่งใหญ่โตของเธอกับปารัชต่างหาก
“เดี๋ยวป้าจะไปดูฤกษ์ มีงานมงคลทั้งทีบ้านคงอบอวลไปด้วยความสุขนะคะ” คุณกานต์วดีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่เห็นบุตรสาวซึ่งอุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมากตั้งแต่เด็กเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที อีกทั้งฝ่ายชายก็ไว้ใจได้เนื่องด้วยเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก
ลูกสาวของบ้านพานิชสุทธิกุลยิ้มอย่างยินดีขณะที่จ้องไปยังทนายหนุ่มซึ่งนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชา ถึงจะไม่เข้าใจที่เขาตอบตกลงแต่งงานด้วยทั้งที่ไม่ชอบกันขนาดนี้สาเหตุมาจากอะไร
ไม่อยากหาคำตอบเพราะมีความสุขมากแล้ว
“พอดีผมมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะครับ” เห็นว่าทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องงานแต่งหัวใจมันก็พลันห่อเหี่ยวจนต้องขอตัวออกจากสถานที่แห่งนี้ซึ่งคุณเอกพงศ์ก็พยักหน้าเป็นอนุญาตร่างสูงจึงลุกขึ้นเดินออกมาทันทีโดยมีนีรนาราตามออกมาด้วย
เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาติดๆ ก่อนจะรั้งแขนหนาเอาไว้อย่างไม่เข้าใจ รู้ดีว่าตอนนี้เขาคงไม่ได้มีธุระจริงดังที่กล่าวอ้าง ปลายทางจะต้องเป็นบ้านของผู้หญิงคนนั้นแน่
“ปล่อย เธอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือไง จะมารั้งพี่ไว้ทำไมอีก” สะบัดแขนตัวเอกออกจากการเกาะกุมอย่างแรงจนแทบโดนใบหน้าหวาน จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่เริ่มสั่นไหวแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือฉีกยิ้มกว้างให้เขา
“พี่ปรานจะแต่งงานกับนีรจริงๆ ใช่ไหม” ถึงเขาจะตอบตกลงแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนในเมื่อชายหนุ่มยังทำตัวเหมือนลมที่ลอยไปลอยมาอยู่แบบนี้
“ได้ยินคำตอบไปแล้วนี่ พอใจมากไม่ใช่เหรอที่จับพี่แต่งงานได้” คำประชดนั้นกระแทกกลางใจจนคนตัวเล็กต้องเม้มปากแน่น