๔ คำขอร้องจากผู้มีพระคุณ (๒)
“แก่แล้วอะไรก็เสื่อมไปหมดเลยต้องออกกำลังกายให้ฟิต นี่ลุงว่าจะเล่นกล้ามแต่ป้าเขาห้ามไว้ก่อน” คุณเอกพงศ์ยังคงเค้าความหล่อเหมือนเมื่อสมัยหนุ่มเอาไว้ ไม่ได้ลงพุงเหมือนคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรือบิดาของเขา เรียกว่ายิ่งแก่ยิ่งทรงเสน่ห์
“ไปกันค่ะคุณพ่อ” ร่างเล็กเดินมาควงแขนบิดาทันทีก่อนที่ปารัชจะขอตัวไปเอารถมารับข้างหน้าให้ทั้งสามไปคอยถึงท่านจะบอกว่าเดินไปด้วยกันแต่หนุ่มรุ่นลูกก็ปฏิเสธไม่อยากให้เดินเพราะมันค่อนข้างไกล จนนักการทูตจำต้องรอด้านหน้า
“พ่อชอบปรานนะ” ขณะที่ยืนคุยกันบิดาก็เอ่ยกับบุตรสาวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คะ”
“พ่อบอกว่าพ่อชอบพี่ปรานของลูก” ท่านยกยิ้มอย่างพึงพอใจยามนึกถึงชายหนุ่มที่เป็นลูกของสารัช
“จริงเหรอคะ” เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นทั้งที่เธอก็พอจะทราบว่าบิดาชื่นชมในตัวอีกฝ่ายด้วยความที่เอาการเอางานทั้งยังใส่ใจดูแลบุตรสาวคนนี้ยามที่ท่านไม่อยู่เมืองไทย
“ถ้าลูกจะชอบพอกับปราน พ่ออนุญาตนะ” ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองอยู่สถานะไหนแต่ท่านก็เปิดไฟเขียวทันที
“ขอบคุณนะคะคุณพ่อ” กอดท่านอย่างดีใจ แต่มานึกได้ว่าเป็นเพียงแค่น้องเขาเท่านั้นก็ห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีจนคนมองสังเกตเห็น
“มีอะไรเหรอลูก”
“ก็นีรกับพี่ปรานไม่ได้คบกันน่ะสิคะ แต่นีรรักพี่ปราน รักมากๆ เลย” บอกความจริงกับบิดาพร้อมทั้งใบหน้าเศร้าจนต้องกอดไหล่บุตรสาวเอาไว้
“เอาน่า ลูกพ่อน่ารักขนาดนี้สักวันปรานเขาต้องเห็น” แล้วเมื่อไหร่จะถึงวันนั้นเสียที เธอรอจนท้อเสียแล้ว..
ปารัชขับรถมาเทียบก่อนจะช่วยขนกระเป๋าใส่ท้ายรถแล้วเป็นสารถีขับพาท่านทูตกลับบ้านพร้อมคุณหญิงและบุตรสาวเพียงคนเดียว ระหว่างทางก็เอ่ยถามถึงน้องชายคนเล็กซึ่งตอนนี้เรียนปริญญาโท วิทยาศาสตร์อยู่ที่บอสตัน ไม่ยอมกลับบ้านสักทีเอาแต่อ้างว่างานเยอะ
“เรย์ไม่กลับมาด้วยเหรอคะ” ถามแล้วก็คิดถึงน้องชายต่างมารดาที่เคยอาศัยด้วยกันตอนหล่อนไปเรียนไฮสคูลและปริญญาตรีที่อเมริกา ก่อนจะแยกกันเมื่อนีรนาราตัดสินใจกลับมาไทย
“เห็นบอกว่ามีเข้าแลปแล้วก็ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน เรานัดเขาช้าไป” กล่าวถึงลูกชายคนเล็กที่แทบไม่เจอหน้ากันเป็นปีเพราะหนุ่มนักศึกษาปริญญาโทไม่มีเวลาว่างให้ครอบครัวเลย โทรหาก็คุยกันเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“นีรคิดถึงเรย์ ไม่ได้เจอนาน”
“ก็ไปหาน้องสิ ไทยกับบอสตันไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอก” หล่อนส่ายหน้าทันที ขี้เกียจนั่งเครื่องกว่ายี่สิบชั่วโมงไปหาน้องชาย ทางที่ดีคือรอวันรวมญาติแล้วให้อีกฝ่ายมาหาจะดีกว่า
“นีรเหนื่อย” เพียงเท่านั้นบิดามารดาก็เข้าใจทันทีว่าลูกสาวคนโตไม่ชอบนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน นั่งทีก็เจ็ตแล็กไปสองสามวัน
รถยนต์เคลื่อนตัวเข้ามาภายในบ้านพานิชสุทธิกุลอย่างช้าๆ พร้อมเหล่าแม่บ้านที่มาเรียงแถวรอต้อนรับคุณผู้หญิงคุณผู้ชายที่ไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน และเมื่อลงจากรถก็มีการอำนวยความสะดวกทุกทางพร้อมเชื้อเชิญให้ไปห้องสปาที่นีรนาราเนรมิตรขึ้นมาให้ริมสระน้ำ
กลิ่นดอกไม้หอมไปทั่วสร้างความผ่อนคลายก่อนจะเตรียมอุปกรณ์รอระหว่างท่านทั้งสองไปอาบน้ำชำระกาย
เหล่าคนรับใช้บางส่วนยกกระเป๋าขึ้นไปไว้บนห้องใหญ่ให้จนเรียบร้อยก็ไปจัดเตรียมอาหาร มีพนักงานจากร้านสปาขึ้นชื่อมาคอยท่าจนทั้งสองเดินเข้ามาก็เริ่มทำการนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อจากการเดินทางแสนยาวนานทันที
“พี่ปรานอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะคะ” ทนายหนุ่มมีท่าทีอึดอัดกับคำชวน
“นั่นสิ อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะ” ตอนแรกก็ว่าจะปฏิเสธแต่พอคุณเอกพงศ์เอ่ยขึ้นเขาก็จำต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้
“ครับคุณลุง” นีรนารายิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นแววว่าชายหนุ่มมีความเคารพยำเกรงต่อบิดาอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่อยากให้ท่านช่วยก็คงไม่ยากเกินไป
วันนั้นทั้งวันคุณเอกพงศ์ก็คลุกอยู่ที่สวนหลังบ้านกับปารัช ท่านชอบปลูกต้นไม้ยิ่งได้คู่หูเป็นหนุ่มรุ่นลูกที่มีความชอบในเรื่องเดียวกันก็ถูกใจยิ่งนัก อันที่จริงว่าจะโทรสั่งต้นไม้มาปลูกเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็เหนื่อยจากการเดินทางจึงนัดแนะปารัชไปเดินดูต้นไม้ที่จตุจักรในวันพรุ่งนี้
“ปรานว่าลุงดูแก่ขึ้นไหม” ขณะที่รดน้ำกล้วยไม้นักการทูตก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่เลยครับ คุณลุงยังดูแข็งแรง” พูดตามความจริงที่เห็น
“ข้างนอกอาจจะดูดี แต่ข้างในเนี่ยสิ..มันก็คงผุพังไปบ้างตามกาลเวลา” ยิ้มอย่างปลงตกกับชีวิต ท่านเพิ่งไปตรวจร่างกายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและผลก็ค่อนข้างน่าตกใจ..
เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
แต่อาจจะโชคดีที่เป็นแค่ระยะแรก
“คุณลุงหมายความว่ายังไงครับ” ประมุขของบ้านเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย
“ลุงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่” เพียงเท่านั้นบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ ปารัชนึกไม่ถึงว่าบุคคลที่ดูแลตัวเองดีและยังออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโรคร้ายได้
“เรื่องนี้นีรยังไม่รู้หรอก ให้รู้ไม่ได้ด้วย” ไม่อย่างนั้นคงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร คิดหนักจนนอนซมเป็นแน่ รู้ดีว่าลูกสาวรักท่านมาเพียงใดหากรู้เรื่องมะเร็งคงได้วุ่นวายเสียยกใหญ่
“ครับ ผมจะปิดเป็นความลับ” สัญญาเป็นมั่นเหมาะ
“แล้วก็ลุงมีเรื่องขอร้องให้ปรานช่วย” ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่าที่บรรยากาศรอบข้างกลับลดฮวบฮาบถูกแทนที่ด้วยความกดดันที่ไม่อาจทราบสาเหตุได้ว่ามาจากไหน
“ลุงอยากให้ปรานแต่งงานกับนีร”
และคำขอนั้นก็เหมือนฟ้าฟาดลงมาที่ร่างของทนายหนุ่มจนชาไปทั่วกาย ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเองมาก่อน เขาพยายามหลีกเลี่ยงนีรนารามาโดยตลอด ไม่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับคุณหนูอารมณ์ร้ายมากไปกว่าพี่น้อง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ผม..”
“ไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ลุงให้เวลาปรานคิด ค่อยมาบอกก่อนลุงจะกลับสวิสแล้วกัน” ท่านยืดเวลาให้หนุ่มรุ่นลูกซึ่งก็ไม่นานนักเพราะคุณเอกพงศ์อยู่ที่ไทยหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น หากนับก็เหลืออีกเพียงหกวันให้ตัดสินใจ
ไม่นานเลยสักนิด
“ลุงรู้ว่ามันค่อนข้างเห็นแก่ตัวที่บังคับปรานแบบนี้ แต่ลุงก็ไม่เห็นว่าใครจะดูแลนีรได้ดีเท่าปรานแล้ว เข้าใจลุงหน่อยนะ” ปารัชใบ้กินไปชั่วขณะไม่คิดว่าตัวเองจะเจอหมัดเด็ดเข้าให้ ลำพังเพียงแค่เจอคนลูกก็ปวดหัวแล้วแต่นี่มาเจอคุณเอกพงศ์ที่มีตัวแปรสำคัญคือโรคร้ายที่ท่านเผชิญทำเอาทนายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
แบบนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ
แล้ววันที่ควรจะสดใสก็หมองหม่นลงทันที
“แล้วน้องจะยอมหรือครับ” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอแล้วถามกลับก็ใช้เวลานาน
“รายนั้นมีหรือจะไม่ยอม น้องรักปรานมากนะ” เขาไม่น่าถามเลย..
อย่างนีรนาราน่ะหรือจะไม่ยอม คงเร่งวันจัดงานให้เร็วขึ้นล่ะสิไม่ว่า
“ไม่ต้องรีบหรอก ค่อยบอกลุงก็ได้” ไม่ว่าจะตอนนี้หรืออีกเจ็ดวันข้างหน้าคำตอบของเขาก็คงเป็นการปฏิเสธงานแต่งที่ท่านกำลังร้องขอแทนบุตรสาว
แต่อีกใจก็แย้งอย่างอดสงสารคนสูงวัยไม่ได้ คุณเอกพงศ์รักบุตรสาวคนเดียวมากเนื่องจากหญิงสาวกำพร้ามารดาตั้งแต่เด็ก ทว่าก็ได้รับความรักอย่างท่วมท้นจากบิดาและคุณกานต์วดีที่ทุ่มเทให้จนไม่ขาดอะไร
“ครับ” ตอบรับอย่างจำใจ หลังจากนั้นจึงพากันเดินเข้าบ้านพบว่าคุณสารัชมาถึงเมื่อสักครู่ เพื่อนซี้ต่างวัยจึงได้คุยกันอย่างออกรสจนเย็นย่ำโดยที่ปารัชเอาแต่คิดถึงเรื่องแต่งงานที่คุณเอกพงศ์ขอร้องเมื่อช่วงกลางวัน
กลับมาถึงบ้านใบหน้าคมก็ยังคงความกังวลเอาไว้จนทนายสารัชอดสงสัยไม่ได้ว่าบุตรชายเป็นอะไรจึงทำหน้าเหมือนเหม็นเบื่อขนาดนั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เดินเข้าบ้านพร้อมกันจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยก็ได้รับการถอนหายใจเสียงดังใส่พร้อมคลายเนกไทออกทันทีด้วยความอึดอัด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแต่งตัวทางการขนาดนี้ด้วยทั้งที่แค่ไปรับคุณเอกพงศ์เท่านั้น
“คุณลุงขอร้องให้ผมแต่งงานกับลูกท่าน” หนุ่มใหญ่ชะงักนิ่ง
“คนไหนล่ะ” ไม่วายเอ่ยแซวจนคนรุ่นลูกหันมามองด้วยแววตาคมดุ
“ไม่ตลกเลยพ่อ” คนโดนว่ากลั้วหัวเราะทันที เพราะคุณเอกพงศ์มีบุตรสาวคนเดียว อีกคนก็เป็นลูกชายอย่างนเรศทร์ที่ไม่ยอมกลับบ้านสักที
“ไม่อยากให้เครียด”
“แต่ผมเครียดจนไมเกรนจะขึ้นแล้ว” โหมงานหนักสามวันติดยังไม่รู้สึกเครียดเท่าเรื่องนี้เลย ใจเขาอยากปฏิเสธแต่เมื่อนึกถึงเหตุผลของท่านก็ไม่อาจตัดใจพูดได้ลง
“คุณลุงไม่เร่งรัดไม่ใช่เหรอ ค่อยๆ คิด ตัดสินใจให้ดีแล้วกัน” เขาหันหน้ามองบิดาด้วยความสงสัย
“พ่อรู้แล้วเหรอ” คนสูงวัยยิ้มเล็กน้อยไม่ตอบอะไรนอกตบบ่าบุตรชายก่อนจะเดินเข้าบ้านไปทันทีปล่อยให้ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หรือว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องหลังมากกว่าที่เขารู้..