๔ คำขอร้องจากผู้มีพระคุณ (๑)
๔
คำขอร้องจากผู้มีพระคุณ
กว่านีรนาราจะกลับบ้านฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว หล่อนเล่าเรื่องให้เพื่อนทั้งสองฟังด้วยอาการสะอื้นไห้จนต้องปลอบกันยกใหญ่ รู้ว่าปณาลียุ่งกับการถ่ายละครและเรนิตาเองก็มีงานต้องสะสางทว่าเมื่อมีปัญหาเพื่อนกลับยอมทิ้งงานแล้วมาหาทันที
ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรถึงจะสมกับความรักและปรารถนาดีที่ทั้งสองมอบให้ และเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าควรเลิกรักได้แล้ว
ใช่สิ..พูดมันง่ายแต่ทำมันยาก ในเมื่อภักดีกับเขามาตลอดจะให้เลิกรักแล้วทิ้งไปมันง่ายเสียเมื่อไหร่ ไม่อย่างนั้นเธอก็คงทำตั้งนานแล้วไม่ทนให้ปารัชไล่อย่างกับหมูกับหมาหรอก แววตาของเขาแสนจะรังเกียจเธอหากไม่รักก็คงไม่ทน
ที่ทนอยู่ก็เพราะรักทั้งนั้น
“ฮึก” วันนี้คุณหนูของบ้านเดินเข้ามาด้วยดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ทำเอาพี่เลี้ยงที่ดูแลมาตั้งแต่น้อยปรี่เข้าหาอย่างเป็นห่วง
“คุณหนูเป็นอะไรคะ” ร่างเล็กโผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีอย่างต้องการที่พึ่ง ถึงได้รับคำปลอบปะโลมจากเพื่อนแต่ภาพเมื่อเย็นยังติดตาไม่หาย
ภาพที่ปารัชจับมือกับผู้หญิงซึ่งเปรียบเหมือนศัตรูของเธอทั้งยังปกป้องอย่างออกนอกหน้าโยนสถานะนางมารร้ายมาให้หล่อนอีกครั้ง ต่อหน้าคนที่แสนจะเกลียด
มันเจ็บจนร้าวไปทั่วอก
“นีรเหนื่อย” ซบหน้าลงที่ไหล่ของพี่เลี้ยงพลางพึมพำเสียงแผ่ว
“เดี๋ยวพี่ให้คนเอากระเป๋าไปเก็บแล้วเราขึ้นห้องกันนะคะ” ยอมเอากระเป๋าให้แม่บ้านถือส่วนตนเองก็เดินเข้าบ้านที่ใหญ่เกินไปในความรู้สึก มีคนอาศัยคือเธอคนเดียวนอกนั้นก็เป็นเหล่าแม่บ้านคนสวน บิดามารดาและน้องชายก็อยู่ต่างประเทศกันหมด
หากไม่ใช่ว่าอยากอยู่ใกล้ปารัชเธอคงขายบ้านหลังนี้ทิ้งแล้วไปอาศัยที่ต่างประเทศเป็นการถาวรแล้ว
เช้าวันต่อมาปารัชตื่นเร็วกว่าปกติเพื่อทำอาหารโดยดูจากวิดีโอในยูทูปเพราะตนเองก็ไม่เก่งเรื่องนี้เท่าไหร่ เมนูที่เขาตั้งใจทำนั้นคือสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่มีวัตถุดิบในตู้เย็นครบครัน ดวงตาคมจ้องจอสี่เหลี่ยมแล้วทำตามอย่างเงอะงะแต่กลับน่ารักในสายตาคนมอง
เจ้าของบ้านหลังเล็กอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของเขากับกางเกงขาสั้นที่ถูกเสื้อปิดมิดจนเหมือนไม่ใส่อะไร ร่างบางอมยิ้มยามมองแผ่นหลังกว้างขยับไปมาในครัวของตัวเองก่อนจะเดินไปกอดเขาจากทางด้านหลัง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ทักทายเสียงหวานก่อนที่ชายหนุ่มจะปลดมือหล่อนออกแล้วหันหน้ามาเพื่อสบดวงตากลมทรงเสน่ห์
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาโน้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเล็กชั่วครู่ค่อยผละออกทำเอาแก้มนวลแดงปลั่งด้วยความเขินอาย
“ทำอะไรคะ”
“ทำอาหารให้แฟนครับ” สถานะที่เขาเอ่ยขอจากหล่อนหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมสวาทถูกยกขึ้นมาเรียกให้ได้อายอีกครั้ง
“ไม่รู้จะกินได้ไหม” ล้อเลียนเขาเรื่องทำอาหารไม่ได้เรื่องซึ่งครั้งนี้ปารัชไม่ยอมเด็ดขาด เขาจับเธอให้ยืนหน้าเตาส่วนตัวเองก็ซ้อนหลัง
“ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูกันว่าจะกินได้ไหม” หลังจากนั้นครัวก็ตกอยู่ในความหวานจากการทำอาหารของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน เสียงหัวเราะดังก้องบ้านอย่างคนมีสุขต่างจากผู้หญิงตัวเล็กที่ยังนอนซมบนเตียงไม่อยากลุกไปไหน
ดวงตากลมโตหลับลงพร้อมน้ำที่ไหลออกมายามที่นึกถึงมือหนากอบกุมมือของคนอื่นเอาไว้ เจ็บเหมือนมีมีดปักลงกลางหัวใจแต่หล่อนไม่สามารถทำอะไรหรือตอบโต้ได้เลย ไม่อยากเป็นนางร้ายต่อหน้าเขามากไปกว่านี้
และถ้าปารัชรู้เรื่องที่เธอกลั้นแกล้งปรางกัญญาในอดีตเขาจะโกรธมากแค่ไหน..
แค่คิดก็เกิดอาการกลัวจนต้องหาแผนสำรองทว่ายังไม่ทันจะได้วางแผนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อนจึงค่อยเอื้อมมือไปหยิบและเมื่อเห็นชื่อก็แทบร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กน้อย
“คุณพ่อขา” กดรับแล้วเรียกท่านเสียงสั่นจนปลายสายผิดสังเกต
‘เกิดอะไรขึ้นลูก นีรเป็นอะไร’ ยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกยิ่งเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ท่านก็แทบจะบินกลับไทยเสียเดี๋ยวนี้
“นีรคิดถึงพ่อ ตอนไหนจะกลับมาหานีรคะ” รู้ว่าถึงจะพูดเรื่องปารัชตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรจึงได้บอกว่าคิดถึงท่านแทน
‘พ่อนึกว่าเรื่องอะไร พ่อก็คิดถึงลูกเหมือนกัน’ สองพ่อลูกคุยกันนานกว่าจะวางสาย อีกไม่กี่วันท่านจะกลับมาไทยตามตารางงานที่ว่างและยังต้องมาทำบุญให้คุณทวดที่จากไปอีก สร้างความยินดีแก่นีรนาราที่จะได้เจอหน้าบิดาในรอบหลายเดือน
เธอมีแรงลุกขึ้นไปอาบน้ำเมื่อคิดแผนที่จะรวบรัดปารัชให้เป็นของตนเองได้แล้ว ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่องกระจกฉีกยิ้มหวานให้คนตรงหน้าทั้งที่แววตาหม่นหมองราวต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาใกล้ตาย
“เธอต้องสู้นะนีร สู้!” ในเมื่อได้ฉายานางร้ายไปแล้วก็จะร้ายให้สุด คอยดูแล้วกันว่าเกมนี้ใครจะชนะกันแน่
นีรให้พี่มีความสุขแค่ตอนนี้ อีกไม่นานพี่ต้องเข้ามาอยู่ในกรงที่นีรสร้างเอาไว้เพื่อพี่คนเดียว..
และแล้ววันที่คุณเอกพงศ์พร้อมภรรยาได้เดินทางกลับไทยก็มาถึงเสียที ลูกสาวเพียงคนเดียวตื่นเต้นจนนอนไม่หลับลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าด้วยชุดเดรสยาวผ้าชีฟองสีชมพูอ่อนพลิ้ว ผมดัดลอนปลายทั้งติดกิ๊บแสนเก๋เอาไว้ สะพายกระเป๋าทรงกลมของแบรนด์ดังทำให้เธอดูทันสมัย ดึงดูดสายตาคนที่พบเห็น
“คุณปรานมารอข้างล่างแล้วค่ะ” คนที่กำลังทาปากเป็นการปิดท้ายหันมองพี่เลี้ยงที่ขึ้นมาบอกว่ามีแขกมารอทำเอาร่างบางรีบสำรวจตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย
“นีรสวยหรือยังคะ” ถามเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
“สวยมากเลยค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มหน้าบานเดินลงไปข้างล่างทันทีอย่างอารมณ์ดี เธอรับประทานอาหารเช้าแล้วจึงเดินไปที่ห้องรับแขกที่ทนายหนุ่มรออยู่ก่อนหน้าทันที
“พี่ปรานคะ ไปกันหรือยัง” คนที่กำลังนั่งรอด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ก็เงยหน้าขึ้นมามองหล่อนก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่
นีรนาราดูแปลกตาไป..เธอโตเป็นหญิงสาวที่สวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
“พี่ปราน” เรียกย้ำจนชายหนุ่มต้องกระแอมแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ติดกระดุมที่สูทค่อยเดินนำร่างบางออกจากห้องรับแขก การกระทำเหล่านั้นสร้างรอยยิ้มให้นีรนาราเพราะเห็นถึงอาการตกตะลึงของเขา
นึกชมตัวเองในใจที่เลือกชุดได้ดีขนาดนี้ ร่างบางเดินไปห้องรองเท้าที่อยู่ปีกขวาของบ้านเลือกบูทสีขาวยาวเลยน่องเล็กน้อยมาสวมใส่แล้วเดินไปขึ้นรถยนต์ของคุณทนายที่นั่งหน้าหน้ารออยู่ก่อนหน้าแล้ว
เมื่อคุณหนูของบ้านพานิชสุทธิกุลขึ้นนั่งประจำที่เขาก็เคลื่อนตัวออกอย่างรวดเร็วเพื่อไปให้ทันรับคุณเอกพงศ์ ฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาจอดยังจุดผู้โดยสารขาเข้าให้นีรนาราลงก่อนจะวนขึ้นไปเพื่อหาที่จอดรถค่อยเดินกลับมาอยู่เป็นเพื่อนหล่อน
ร่างบางตื่นเต้นเป็นอย่างมากนั่งดูนาฬิกาตลอดเวลา ไม่เจอบิดามาเกือบแปดเดือนเห็นจะได้เพราะท่านติดงานตลอดจึงไม่ได้กลับไทยตามที่สัญญาเอาไว้ วันนี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่จะได้เห็นหน้าและกอดด้วยความคิดถึง
“ตอนไหนคุณพ่อจะมา” พึมพำเสียงเบาทั้งชะเง้อมองหาบิดาอีกครั้ง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเดินวนไปมาจนมองไม่เห็นคนที่เดินผ่านชนเข้าอย่างจังและกระเป๋าสัมภาระของอีกฝ่ายก็ตกกระจายจนหล่อนต้องรีบเอ่ยขอโทษ
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวัง” ยื่นกระเป๋าใบกลางให้เขาไม่ลืมเอ่ยขอโทษด้วยโทนเสียงรู้สึกผิดทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ระวังเอง” เขาเงยหน้าขึ้นมองสาวน้อยตรงหน้าก็นิ่งไปชั่วขณะ ยิ่งยามได้สบดวงตากลมโตที่ทอประกายสดใสเหมือนมีดาวนับล้านจับจองอยู่ในนั้นก็ก้าวขาไม่ออก ยังคงยืนนิ่งเหมือนเดิมจนร่างบางต้องเอ่ยเรียก
“คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เมื่อได้สติก็ส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธ
“ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย” ถึงจะปฏิเสธอย่างนั้นแต่แววตาก็ยังดูเลื่อนลอยชวนฝันอยู่ดีจนผิดสังเกต
ปารัชเดินมาหานีรนาราอย่างรีบร้อนกลัวไม่ทันรับคุณเอกพงศ์ก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อเห็นหญิงสาวคุยอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งและดูท่าทางหมอนั่นไม่น่าไว้ใจเสียด้วย ไวกว่าความคิดเขารีบก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้างหล่อนอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือเปล่า” ถามเสียงนิ่งพลางยืนซ้อนหลังคนตัวเล็กแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“พอดีนีรชนคุณคนนี้น่ะค่ะ เลยขอโทษเขา” ได้ฟังอย่างนั้นทนายหนุ่มก็จ้องตรงไปที่ชายรูปร่างสันทัดอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าจงใจชนหรือเปล่าถึงได้มีท่าทีก้อร่อก้อติกแบบนี้
“ถ้าขอโทษกันแล้วก็ไปรอคุณลุงดีกว่า” ปารัชไม่แม้แต่จะเสวนากับอีกคนกลับจูงมือนีรนาราไปรอคุณลุงนักการทูตอีกที่หนึ่งทันที ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบใจที่เห็นหญิงสาวยืนยิ้มหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น
อาจเพราะความเป็นพี่ที่หวงน้องสาวก็เป็นได้.. เขาภาวนาให้มันเป็นแบบนั้น
“พี่ปรานปล่อยได้แล้ว นีรเจ็บ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็รีบปล่อยข้อมือเล็กทันทีราวกับว่ามันเป็นของร้อน
“ก็ไม่ได้อยากจับหรอก” คุณหนูคนสวยทำปากขมุบขมิบล้อเลียนเขาแล้วค่อยมองยังประตูผู้โดยสารขาเข้าประเทศ
บิดาเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบจะถึงในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า นั่งเครื่องกว่าสิบสามชั่วโมงคงปวดเมื่อยเนื้อตัวน่าดู แน่นอนว่านีรนาราเตรียมสปาไว้ที่บ้านสำหรับท่านทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไหนจะอาหารซึ่งลงไปกำกับดูแลด้วยตัวเองถึงจะทำไม่ค่อยเป็นก็ตาม แต่หล่อนรู้ดีว่าคุณเอกพงศ์ชอบกินอะไร
ระหว่างที่รอปารัชก็ยุ่งอยู่กับโทรศัพท์พร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนคนเห็นอดเคืองไม่ได้ พอจะรู้ว่าเขาคุยกับใครแต่ไม่อาจทำอะไรได้เลยในเมื่อไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าของ หล่อนก็แค่น้องของเขาเท่านั้นไม่สามารถเลื่อนหรือขยับจากความจริงข้อนี้ได้
ปารัชไม่เคยมองว่าหล่อนเป็นหญิงสาวที่คู่ควร และมันยิ่งเจ็บกว่าเมื่อเห็นว่าเขามีคนอื่นที่ทำให้มีความสุขซึ่งที่ตรงนั้นมันควรเป็นของเธอ
อยากลุกไปกระชากโทรศัพท์เขาแต่กลัวว่าจะได้ทะเลาะกันในที่สาธารณะจำต้องสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้พลางมองหาบิดาเพราะอยากกอดท่านใจจะขาด ไหนจะมารดาที่ช่างเอาใจหล่อนเสียเหลือเกินด้วย
“คุณพ่อมาแล้ว” เห็นท่านเดินมาแต่ไกลก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหาทันทีจนปารัชต้องรีบเดินตามกลัวว่าจะซุ่มซ่ามเดินชนใครเหมือนเมื่อสักครู่อีก
“คุณพ่อขา” ตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งเข้าไปกอดท่านด้วยความคิดถึงอย่างสุดหัวใจจนคนเป็นพ่อต้องกอดตอบพลางหัวเราะที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนลูกจะเติบโตขึ้นเพียงใดในสายตาของท่านก็ยังคงเห็นเป็นหนูนีรตัวน้อยวิ่งเข้ามาอ้อนเสมอ
“นีรคิดถึงคุณพ่อที่สุดในโลกเลย” เอ่ยอย่างออดอ้อนพลางซบลงบนอกหนาของบิดาไม่อายสายตาคนที่มอง
“พ่อก็คิดถึงลูกเหมือนกัน” ปารัชมองพ่อลูกที่กอดกันกลมด้วยแววตาเปี่ยมสุข เขาคิดถึงอดีตที่คุณหนูนีรนารามักจะร้องหาพ่อเสมอเมื่อเจ็บป่วยหรือถูกรังแก เพียงแค่ได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านเธอก็สงบลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับได้ที่พึ่ง
“ไม่คิดถึงแม่เลยเหรอ” คุณกานต์วดีเอ่ยถามจนร่างเล็กต้องผละออกมากอดคุณแม่คนสวยบ้าง
“คิดถึงที่สุดเลยค่ะ คุณแม่ไม่น้อยใจน้องนีรนะ” ด้วยความชินปากเรียกตนเองว่าน้องนีรกับมารดาตั้งแต่เด็กจนติดมาถึงปัจจุบัน
“น่ารักจริงเด็กคนนี้” ปารัชอยากให้ท่านทั้งสองเห็นเหลือเกินว่าบุตรสาวคนเดียวที่บอกว่าน่ารักนั้นร้ายกับคนอื่นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจพูดได้นอกจากยิ้มตามคำชมที่ไม่ใกล้ความจริงสักนิด
“ว่าไงเราตาปราน ไม่เจอตั้งนานหล่อขึ้นนะเนี่ย” ปล่อยให้สองสาวกอดหอมกันท่านก็หันมามองบุตรชายของรุ่นน้องคนสนิทที่เป็นทนายประจำตระกูล
“ไม่หรอกครับ แต่คุณลุงดูแข็งแรงดีเหมือนเดิมนะครับ” ท่านพยักหน้าพลางยกยิ้มเล็กน้อย