๒ บังคับใจ (๒)
จากวันที่เกิดเรื่องผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว นีรนาราหายไปจากสารบบไม่ติดต่อหรือมาให้เห็นหน้าสักครั้ง ปารัชนึกดีใจโดยที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่ามักจะมองโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้งทั้งยังจ้องประตูหลายคราราวกับว่ารอคอยใครสักคนจนเสมียนหน้าห้องอดเอ่ยกระเซ้าไม่ได้
“คุณปรานรอคุณหนูนีรเหรอคะ” พราวพิลาศ แจ่มนวลจันทร์ สาวหุ่นอวบที่มักจะมีรอยยิ้มติดใบหน้าตลอดเวลาเอ่ยถามเจ้านายของตนเองขณะที่นำเอกสารของลูกความมาให้เขาอ่าน
ใบหน้าคมเคร่งขรึมขึ้นทันทีพร้อมกระแอมเพียงเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนถามด้วยแววตาเรียบนิ่งทำเอาหล่อนต้องรีบหุบยิ้มเม้มปากเอาไว้แน่น รู้สึกเหมือนว่างานกำลังจะเข้าตัวเองเสียแล้ว ไม่น่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลยไอ้พราวเอ้ย
“ผมว่าช่วงนี้งานคุณน้อยไปนะ อยากได้เพิ่มไหม” ได้ยินคำถามที่แสนน่ากลัวก็ส่ายหน้าทันที หล่อนทำงานที่สำนักงานทนายความแห่งนี้มานานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้จึงค่อนข้างสนิทกับปารัชและคุณสารัชพอสมควร
บุกเบิกมาด้วยกันจนตอนนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โต มีชื่อเสียงทางด้านกฎหมาย มีคนเข้ามาปรึกษาตลอด อีกทั้งสองพ่อลูกก็เอื้ออาทรต่อหล่อน แม่ป่วยก็ช่วยออกเงินค่ารักษาพยาบาล ลูกชายเจ็บไข้ก็ไปเยี่ยมเสมอจนซาบซึ้งใจ
“ไม่ล่ะค่ะ พี่แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” เอ่ยจบก็รีบออกจากห้องทำงานของทนายหนุ่มทันที คนอะไรช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย
อันที่จริงปารัชมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอยกเว้นก็แต่เรื่องของนีรนาราที่แค่ได้ยินชื่อก็มักจะทำหน้านิ่งเหมือนคนอมบอระเพ็ดเอาไว้อย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงคุณหนูคนสวยออกจะน่ารัก ทั้งยังเอาใจใส่เขาทุกอย่างแท้ๆ
เธอแอบสงสารหญิงสาวที่มัวแต่เฝ้าตามความรักซึ่งไม่อาจสมหวังเพราะฝ่ายชายดูเหมือนไม่มีใจให้เลยสักนิด มาหาก็มักจะไล่ด้วยคำพูดร้ายกาจ ทำอะไรเล็กน้อยก็ชักสีหน้าใส่เหมือนรำคาญ ถ้าเธอโดนแบบนี้คงหนีไปตั้งแต่สามวันแรกแล้วไม่ทนอยู่หลายปีแบบนี้หรอก
จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรนีรนาราจึงยังทนทำทุกอย่างให้ปารัช เคยถามหญิงสาวหนหนึ่งก็ได้คำตอบที่มาพร้อมกับอาการเหม่อลอย
‘นีรก็แค่รอค่ะ’ จำได้ว่าตอนที่ฟังก็สงสัยว่าร่างบางรออะไรจนกระทั่งได้รับการเฉลย
‘รอว่าเมื่อไหร่นีรจะทนไม่ได้ แล้วออกจากชีวิตพี่ปรานไปสักที’ แล้วเธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าการรอของนีรนาราไม่ใช่ไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่พราวพิลาศอยากรู้เหลือเกินว่าเมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึงเสียที สงสารคนตัวเล็กจับใจที่มาหาทีไรก็โดนไล่ทุกคราว
อยากให้ถึงวันที่หญิงสาวเอาคืนเหลือเกิน หล่อนจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลยเชียว
“เฮ้อ” ทนายหนุ่มปลดคลายเนกไทออกเล็กน้อยขณะที่ขับรถกลับบ้าน เขาไม่ได้ติดต่อมนรดาอีกเลยหรืออันที่จริงคือเธอตัดขาดทุกช่องทางต่างหาก ไปหาที่คอนโดก็ย้ายออกแล้ว โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ หายไปเหมือนกับว่าไม่มีอยู่จริง
ไม่รู้ว่านีรนาราขู่อะไรไว้จึงได้กลัวหัวหดขนาดนั้น อันที่จริงเขาก็แทบไม่ได้ถามเลยว่าหล่อนเจออะไรมาบ้างถึงมีอาการระแวง แต่เท่าที่จำได้ก็ไม่มีร่องรอยการโดนทำร้ายนอกร่มผ้าทำให้พอเบาใจว่าหญิงสาวไม่ได้โหดร้ายจนทำร้ายร่างกายคนอื่น
ตืด ตืด ตืด
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้เขาต้องหันไปหยิบมารับโดยไม่ได้ดูเลยว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน และก่อนที่จะชนคนโชคร้ายปารัชก็หันกลับมามองถนนพลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหยียบเบรกอย่างไม่ทันคิดว่าคันข้างหลังที่ตามมาจะชนตัวเองหรือเปล่า
“เฮ้ย!” ไม่รู้ว่าเบรกทันหรือเปล่าเพราะตอนนี้เขามองไม่เห็นหญิงสาวที่เดินตัดหน้ารถเลย เวลาเย็นย่ำเช่นนี้รถราค่อนข้างเยอะดีที่เขาไม่ได้ขับเร็วเท่าไหร่ และสิ่งหนึ่งที่แทบไม่อยากเชื่อคือรถคันข้างหลังที่จี้เขามาตลอดก็เบรกทันจึงไม่มีการชนซ้อนคันเกิดขึ้น
ร่างสูงตัดสินใจลงไปดูคนเจ็บพบว่าหล่อนนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น โชคดีที่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากร่างกาย รีบโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินทันที อันที่จริงก็อยากพาไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองแต่ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายคนเจ็บได้กลัวว่ากระดูกจะเคลื่อน จึงทำเพียงยืนรอเท่านั้น
คนเริ่มมามุงจนต้องบอกให้ถอยห่างพลางนั่งลงพัดให้คนที่หายใจอ่อนแรง ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงพร้อมเปลนำร่างบางไปยังปลายทางทันทีโดยมีปารัชขับตามมาติดๆ
“ผมเป็นคนชนเธอครับ” ชายหนุ่มเดินกรอกเอกสารและยอมรับผิดทุกอย่างพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ
“เอ่อ คุณผู้หญิงไม่ได้โดนชนครับ เขาแค่เป็นลมเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ” คุณหมอบอกอาการคนที่ยังไม่ฟื้นทำให้เขาพอหายใจหายคอได้สะดวก
“ถ้าเธอฟื้นสามารถกลับบ้านได้เลยนะครับ” เขาค้อมศีรษะขอบคุณแล้วเดินเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยที่มีร่างบางนอนไม่ได้สติ เมื่อมองใบหน้าที่มีสีเลือดต่างจากขามาซึ่งซีดเซียวจนนึกว่าจะไม่รอดเสียแล้วก็พอใจชื้น ใบหน้าคมยิ้มออกมาเล็กน้อยค่อยออกไปโทรศัพท์หาบิดา
“ครับพ่อ”
‘เดือนหน้าคุณเอกพงศ์จะกลับไทย อย่าลืมไปรับท่านที่สนามบินด้วยล่ะ’ บิดาโทรมาบอกไว้แต่เนิ่นๆ เพราะกลัวบุตรชายจะลืมไปรับผู้มีพระคุณของท่านซึ่งปารัชก็รับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขารู้ว่าคุณเอกพงศ์ดีกับครอบครัวของตนเองมากเพียงใด วันที่พ่อแทบไม่เหลืออะไรในชีวิตก็ได้ท่านยื่นมือเข้ามาช่วยจนสามารถลืมตาอ้าปากกับเขาได้บ้าง ทำให้คุณสารัชปฏิญาณตนว่าจะรับใช้ครอบครัวพานิชสุทธิกุลไปตลอดชีวิต
แล้วยังให้ปารัชสาบานอีกด้วย แต่เขาอาจจะหนักหน่อยที่ต้องช่วยดูแลคุณหนูของบ้านอย่างนีรนาราตั้งแต่เด็ก ได้ศึกษาที่โรงเรียนนานานชาติก็เพราะต้องดูแลเธอ ช่างเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทนกันไปชั่วชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ครับ”
‘พ่อคงต้องอยู่เชียงใหม่อีกสองวัน ฝากไปดูแลคุณหนูหน่อยนะเห็นว่าไม่สบาย’
..ไม่น่าเล่าทำไมไม่เห็นโผล่มาเลย ที่แท้ก็หมดฤทธิ์นี่เอง
ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะรับคำพ่อแบบขอไปที คุณสารัชไปทำงานที่ภาคเหนือกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วปล่อยให้ลูกชายควบคุมสำนักงานกฎหมายเพียงผู้เดียว
ร่างสูงเดินเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยขณะที่กดดูเบอร์ล่าสุดซึ่งไม่ได้รับเพราะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน
‘นีรนารา’
เขาไม่เห็นชื่อนี้โผล่มาทางโทรศัพท์นานแค่ไหนแล้วก็ไม่อาจจำได้ บิดาบอกว่าหล่อนไม่สบายทำให้เกิดความเป็นห่วงและเมื่อจะโทรกลับเสียงของคนบนเตียงก็ดังขึ้นมาเสียก่อนทำให้ร่างสูงจำต้องยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่เพิ่งฟื้นคืนสติ
ดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้นมองเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ได้กลิ่นหอมของสเปรย์ปรับอากาศจนไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองนอนอยู่ที่ใด ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังรอรถเมล์อยู่ข้างถนนแล้วหน้ามืดหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำสนิท
“คุณ เป็นยังไงบ้างครับ” เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นเคยทำให้หันไปมองก็พบใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจ้องตัวเอง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันทีเพราะมั่นใจว่าไม่รู้จักเขา
“คุณเป็นใคร” ค่อยยันกายลุกขึ้นแต่เพราะไร้เรี่ยวแรงเขาจึงมาช่วยพยุงหล่อนจนนั่งอยู่บนเตียง
“ผมเจอคุณเป็นลมอยู่บนถนนเลยพามาส่งที่โรงพยาบาล” เขาบอกความจริงไปไม่หมดโดยเว้นว่าตัวเองเกือบจะขับรถชนเธอเอาไว้
“โรงพยาบาล..” มองรอบห้องก่อนจะเบิกตากว้างเพราะเพิ่งเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ห้องพักหรูแค่ไหน ถึงจะเป็นเพียงห้องผู้ป่วยธรรมดาแต่ว่าฐานะอย่างเธอไม่มีปัญหาจ่ายค่าห้องราคาหลายพันหรอกนะ ลำพังแค่ค่าอยู่ค่ากินก็แทบไม่มีเงินเหลือใช้แล้ว
“ฉันจะกลับบ้าน ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าห้องหรอก” โวยวายพลางจะลงจากเตียงแต่เขาก็จับเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจ่ายให้คุณแล้ว” หล่อนมองเขาด้วยความอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ที่จริง..ผมเกือบจะชนคุณน่ะครับ” ยอมรับผิดพร้อมค้อมศีรษะเป็นการขอโทษเล็กน้อยที่ไม่ได้บอกให้หมดตั้งแต่ครั้งแรก
“ผมขอโทษ” อันที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด เธอจำได้ว่าตอนจะเป็นลมตัวเองเดินลงมาที่ถนนหลังจากนั้นก็วูบไป คงเป็นผู้ชายคนนี้ที่ขับรถเข้ามาพอดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเอง” สองคนต่างโทษตัวเองจนกระทั่งหมอเข้ามาตรวจอาการหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้ายแล้วไม่ลืมกำชับให้รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนจะปล่อยกลับบ้านได้พร้อมยาที่ได้มาสองสามถุง
“โอ๊ย” ขณะที่เดินออกจากโรงพยาบาลเธอก็ครางเสียงแผ่วทำเอาคนที่เดินใกล้หันมามองด้วยความเป็นห่วง
“คุณเป็นอะไรครับ” เข้ามาประคองหล่อนเอาไว้ด้วยการจับไหล่เล็กพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังใจสั่นไหว
“เหมือนข้อเท้าจะแพลงค่ะ” อันที่จริงอาการนี้เป็นได้สักพักแล้วแต่ไม่กล้าบอกเขาจนกระทั่งเดินมาเรื่อยๆ แล้วเจ็บจนทนไม่ไหวจึงหลุดปากออกไป ใบหน้าคมฉายแววห่วงใยก่อนจะตัดสินใจเลื่อนมือมาประคองที่เอวเล็ก
“ขออนุญาตนะครับ” เขาเอามือเธอมาไว้ที่เอวของตนเองพร้อมกับพาเดินไปยังรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งสองใกล้ชิดกันและเป็นหล่อนที่เผลอมองเขาด้วยแววตาชื่นชมโดยที่ร่างสูงก็รับรู้แต่กลับไม่ได้ว่าอะไร
ที่จริงก็แอบชื่นชมความงามของหญิงข้างกายอยู่ภายในใจเงียบๆ
“บ้านอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” ทันทีที่ขึ้นมาบนรถเขาก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ก็มืดแล้วหากปล่อยให้กลับคนเดียวมันจะอันตรายเกินไป
“จะไม่รบกวนเกินไปเหรอคะ” ใบหน้าหวานมีความเกรงใจ ไหนเขาจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา
“ไม่ครับ ผมว่าง” ได้ยินดังนั้นก็ค่อยยิ้มออกมาได้แล้วบอกเส้นทางกลับบ้านของตัวเอง
“ลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อปารัชครับ เรียกว่าปรานก็ได้” เมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวออกไปเขาก็หันมาแนะนำตัวกับร่างบางที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดจาราวกับทำตัวไม่ถูก
“ปรางค่ะ ปรางกัญญา” ชายหนุ่มหันไปมองเธอเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา
“ชื่อเล่นเราคล้ายกันเลยนะครับ” ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่ต่างกันแค่พยัญชนะตัวท้าย ใบหน้าหวานยิ้มเพียงเล็กน้อยในขณะที่แก้มนวลกลับแดงปลั่งด้วยความเขินอายกับคำพูดของเขา
นั่นสิ ชื่อคล้องจองกันแบบนี้ จะเกิดมาเพื่อกันและกันหรือเปล่านะ..
นีรนารานั่งอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องนอนของตัวเอง จ้องโทรศัพท์ด้วยความขัดใจหลังจากข่มใจไม่โทรหาปารัชมาได้กว่าสองสัปดาห์จนกระทั่งวันนี้ที่ทนไม่ไหวติดต่อไปหาเขาทว่าชายหนุ่มกลับไม่รับ แล้วก็ยังไม่โทรกลับมาอีกด้วย สร้างความว้าวุ่นให้ร่างบางเหลือเกิน
“หรือเขาจะดีใจที่เราออกจากชีวิตได้สักที” คิดอย่างปลงไม่ตก ไม่น่าเชื่อคำแนะนำของเพื่อนสนิททั้งสองคนตั้งแต่แรกเลย
เพราะเรนิตาและปณาลีนั้นแหละยุให้เธอไม่สนใจเขาบ้างเผื่อชายหนุ่มจะโหยหา แต่ความจริงน่ะหรือ..
เขาคงดีใจแทบโห่ร้องไชโยน่ะสิไม่ว่า
“ฉันไม่เชื่อพวกแกแล้ว” ว่าจบก็ลุกจากที่นอนเพื่อแต่งตัวออกไปหาทนายหนุ่มทันที อุตส่าห์ให้คุณอาสารัชโทรไปบอกว่าหล่อนไม่สบายเขาก็ยังไม่เป็นห่วงอีก
ทำไมใจร้ายขนาดนี้นะพี่ปราน..