๑ ราวี (๒)
นีรนาราพาคุณอาที่สนิทและเป็นถึงว่าที่พ่อสามีมายังห้องนั่งเล่นติดสระน้ำซึ่งเธอเป็นคนออกแบบ โดยเน้นโทนสีขาวสลับดำดูโมเดิร์นตามความชอบของตัวเอง แก้หลายรอบกว่าจะออกมาถูกใจคุณหนูคนสวย
“อาเพิ่งมาเมื่อกี้เอง ไม่ถึงสิบนาทีคุณหนูก็เข้ามาพอดี” หล่อนจ้องตาท่านไม่เห็นวี่แววโกหกจึงพยักหน้ารับ
“นีรก็นึกว่าปล่อยให้คุณอารอนานเสียอีก” ยังไม่ทันได้คุยกันแม่บ้านก็นำน้ำมาเสิร์ฟเสียก่อน คุณหนูคนสวยจึงหยิบมาดื่มดับความกระหายแล้วหันไปมองหน้าแขกผู้มาเยือน
“ว่าแต่คุณอามาหานีรมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” คุณสารัชเป็นทนายประจำตระกูลมานานทั้งยังเป็นรุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกันกับบิดาของเธออีก ดูแลรับใช้กันมาเนิ่นนานทำให้เธอได้รู้จักกับลูกชายของท่านผู้ทำให้โลกของนีรนารามีแต่เขาเพียงคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก
“คุณพ่อบอกคุณหนูไม่รับโทรศัพท์ครับเลยฝากให้มาเตือนเรื่องทำบุญให้คุณทวด” เอ่ยจบหล่อนก็ทำหน้างอทันที
“ก็คุณพ่อไม่ชอบรับโทรศัพท์นีรนิคะ โทรไปกี่รอบก็ไม่ว่างตลอดเลย นีรก็แค่ไม่รับสายคุณพ่อสองวันเอง คนแก่ทำไมขี้น้อยใจจัง”
เธอยกมือขึ้นกอดอกทันทีก่อนจะนึกได้เรื่องงานทำบุญให้คุณทวดที่บิดาจะกลับมาบ้าน
“เอ๊ะ ทำบุญให้คุณทวดแสดงว่าคุณพ่อจะกลับมาใช่ไหมคะ” เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นลืมอาการงอนของตัวเองเมื่อสักครู่ทันที
“ครับ ท่านจองตั๋วไว้แล้ว” จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดีใจของคุณหนูแห่งบ้านพานิชสุทธิกุล เธอไม่ได้พบหน้าบิดาของตัวเองมาเกือบหกเดือนแล้วเพราะท่านไปประจำการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หากอยากเจอก็ต้องบินไปซึ่งแต่ละครั้งก็ใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว เธอไม่อยากทิ้งปารัชไว้เพียงลำพังกลัวผู้หญิงพวกนั้นมาเกาะแกะจึงตัดใจไม่ไปหาบิดา
“ดีจังค่ะ นีรคิดถึงคุณพ่อมากเลย แล้วก็คิดถึงคุณแม่ด้วย” นึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่เพียงบิดาที่ตัวเองคิดถึงแต่ยังรวมคุณแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเพราะมารดาแท้จริงเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุได้เพียงหนึ่งขวบเท่านั้น
คนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็มีแต่คุณแม่กานต์วดี พานิชสุทธิกุลจนหล่อนรักมากยกให้เป็นแม่แท้ๆ ไปแล้ว
นีรนาราคุยกับคุณสารัชอีกหลายเรื่องก่อนที่ท่านจะขอตัวกลับเนื่องจากต้องไปงานศพลูกความที่สนิทกัน อีกฝ่ายเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันจนรู้สึกใจหาย ชีวิตคนเราไม่แน่นอนไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง ทางที่ดีควรทำในสิ่งที่ต้องการ พูดในสิ่งที่หัวใจบอกดีกว่ามาเสียใจทีหลังวันที่บอกไม่ได้แล้ว
“ขับรถดีๆ นะคะคุณอา” ร่างบางมายืนส่งทนายประจำตระกูลที่หน้าบ้านก่อนจะเดินขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี
“จะได้เจอคุณพ่อแล้ว พูดเรื่องเรากับพี่ปรานดีไหมนะ” คิดอย่างหมายมาดเชื่อว่าหากเป็นบิดาพูดชายหนุ่มคงจะเกรงใจอยู่บ้าง อีกอย่างคุณเอกพงศ์ก็ชอบปารัชที่เป็นคนเอาการเอางานทั้งยังดูแลเธอได้ดีอีกด้วย
คิดได้ดังนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างมีแผนการ จากนี้ชายหนุ่มคงไม่รอดมือเธออย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเป็นสามีของนีรนาราคนเดียวเท่านั้น!
ปารัชกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากไปรอแฟนสาวที่คอนโด ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาถึงจะอยู่จนค่ำมืดก็ตาม จนในที่สุดก็ต้องถอดใจยอมกลับมาบ้าน
และเพียงแค่เดินเข้ามาก็ได้กลิ่นอาหารลอยเข้าจมูกทำเอาท้องร้องเพราะไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน
เขาไปหาลูกความพอดีช่วงเช้า พอตอนบ่ายว่างจึงนัดแฟนสาวที่คบกันได้สี่เดือนมาเจอแต่อยู่ไม่นานก็มีคนมารังควาน และเป็นคนเดิมที่ตามราวีผู้หญิงทุกคนของเขาจนต้องเลิกรากันไปในที่สุด
“อ้าวพ่อ นึกว่ากำลังกินข้าวซะอีก” เขามองนาฬิกาก็เห็นว่าสองทุ่มกว่าแล้วทว่าบิดายังคงนั่งดูข่าวอยู่หน้าจอทีวีทั้งที่ปกติเวลานี้ท่านมักขึ้นไปหมกตัวอยู่ที่ห้องหนังสือแล้วแท้ๆ
ปารัชอยู่บ้านหลังนี้กับพ่อสองคนโดยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดและทำอาหารเฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น แม่ของเขาหย่ากับพ่อนานแล้วก่อนที่ท่านจะแต่งงานกับฝรั่งแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศถาวร มีบางครั้งที่โทรคุยกันแต่ช่วงนี้ท่านยุ่งกับการบริหารกิจการร้านอาหารไทยจึงไม่ค่อยได้ติดต่อ
ร่างสูงพาดเสื้อสูทไว้ที่พนักโซฟาก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กแล้วเหยียดกายด้วยความเมื่อยล้าทำเอาผู้สูงวัยมองนิ่ง
“วันนี้ช่วงบ่ายไม่เข้าบริษัทเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นก็เงียบทันที
“ใครฟ้องพ่อล่ะครับ” บางทีเขาก็อยากจะไล่ผู้ช่วยทนายหน้าห้องออกเหลือเกินที่ผันตัวไปเป็นพวกของนีรนาราไม่พอยังรายงานเรื่องของเขากับคุณสารัชอีก
“ไม่มีหรอก พ่อว่าจะชวนแกไปงานศพคุณประวิทย์ลูกความที่พ่อเคยว่าความให้” ปฏิเสธเสียงอ่อนกลัวว่าปารัชจะเที่ยวโทษคนอื่นถึงได้บอกความจริง
“เขาตายแล้วเหรอพ่อ” เอ่ยถามด้วยความตกใจเพราะเพิ่งเจอกันเมื่อเดือนก่อน
“ใช่ หัวใจวายเชียบพลันน่ะ” ปารัชตกใจไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะเสียชีวิตทั้งที่เห็นกันอยู่หลัดๆ เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งไปรับประทานอาหารด้วยกันพูดคุยอย่างสนุกสนานแท้ๆ อย่างว่านั่นแหละชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน
สองพ่อลูกปรับทุกข์กันชั่วครู่ก่อนชายหนุ่มจะขอขึ้นไปอาบน้ำบนบ้านค่อยลงมาทานอาหารเย็นที่บิดาอุ่นไว้ให้ แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือสองพ่อลูกเนื่องจากทำกับข้าวไม่ได้เรื่อง ทั้งคู่จึงจ้างแม่บ้านมาจัดการให้ทุกอย่าง
“พ่อกินข้าวแล้วเหรอ” เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงผ้าเนื้อนิ่มสำหรับใส่นอน
“เรียบร้อยแล้วล่ะ แกไปกินเถอะพ่อจะขึ้นนอนแล้ว” ท่านลุกจากโซฟาก่อนจะปิดโทรทัศน์แล้วขึ้นไปบนบ้านโดยไม่ได้เอ่ยอะไรนอกเหนือจากนั้น แสดงว่าคุณหนูนีรของพ่อไม่ได้ไปฟ้องอะไร
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจเพราะเขามักจะได้ยินพ่อดุทุกครั้งที่หาเรื่องหลบหนีนีรนารา ท่านสงสารคุณหนูที่แม่ตายตั้งแต่เด็กโดยไม่ดูเลยว่าหญิงสาวไม่ได้น่าสงสารสักนิด มีแต่จะสร้างความรำคาญให้จนไม่อยากเจอหน้า
ไม่เหมือนตอนเด็ก..ครั้งที่ยังเป็นน้องนีรกับพี่ปราน
“ทำไมไม่อยากไปล่ะ” หลังจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ประเทศไทยคุณเอกพงศ์บิดาของนีรนาราก็ให้บุตรสาวไปเรียนต่อที่อเมริกาทันที แต่ลูกสาวก็ดื้อเพ่งไม่ยอมทำตามคำสั่งของท่านเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่กินข้าวกินปลา ใครมาหาก็ไม่ยอมให้เข้ายกเว้นก็แต่พี่โปรดปรานคนเดียวที่หนูน้อยยอมเปิดประตูต้อนรับ
“นีรไม่อยากไปไกลพี่ปราน” เอ่ยเสียงอ่อนแล้วช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคม
“ไม่เห็นไกลเลย ไทยกับอเมริกานั่งเครื่องไม่นานก็ถึง” เขาโกหก..จะไม่นานได้อย่างไรในเมื่อพ่อประจำการที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้กลับมาปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น แล้วถ้าเธอไปอยู่ด้วยก็คงแทบไม่ได้กลับไทยเลย
“ไม่จริง มันไกล ไกลมาก” ว่าเสียงเครือก่อนน้ำตาจะร่วงเมื่อมองใบหน้าของพี่ชายที่เธอมอบหัวใจให้
หลายคนอาจจะว่าแก่แดดที่มีชายในดวงใจตั้งแต่อายุสิบห้า แต่ใครเล่าจะรู้ว่ากว่าความรู้สึกนี้จะเติบโตมาได้มันใช้เวลาในการบ่มเพาะนานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเธอจะหลงรักเขาปุบปับทว่าเป็นเพราะสิ่งต่างๆ ที่ปารัชทำให้ต่างหากที่มัดใจนีรนาราได้ทั้งดวง
“ถ้าอย่างนั้นพี่สัญญาว่าจะโทรหาเธอบ่อยๆ ดีไหม” นั่นมันไม่พอหรอก แค่ได้ยินเสียง เห็นหน้าแต่ไม่ได้กอด
ไม่พอสักนิด...
“ไม่ร้องไห้สิเด็กดี” เขาเดินเข้าไปหาแล้วกอดร่างเล็กเอาไว้ด้วยความรู้สึกใจหายไม่ต่างกันนัก เจอหน้ากันทุกวันไปโรงเรียนด้วยกันตลอด พอน้องหายไปก็อดวูบโหวงไม่ได้
“พี่อยากให้เธอไปเพราะอนาคตของเธอนะ เรียนจบค่อยกลับมาก็ได้ พี่จะรอ” เขาให้คำสัญญากับเด็กหญิงเอาไว้ว่าจะรอ
“ไม่เอา” เธอส่ายหน้าทันที ไม่อยากห่างไปไหนทั้งที่รู้ว่าถึงจะดื้อก็ต้องไปตามคำสั่งของพ่ออยู่ดี
“แล้วเธออยากได้อะไร พี่จะทำให้” เขาเอ่ยถามอย่างจนปัญญา ทั้งที่จริงนีรนาราไม่เคยดื้อกับพี่ชายคนนี้สักครั้ง เป็นน้องที่น่ารักตลอดจนเขาเอ็นดู
“นีรอยากแต่งงานกับพี่ปราน” คำขอนั้นทำเอารุ่นพี่มอหกหนักอึ้งในหัวใจ ผละออกจากร่างเล็กแล้วมองแววตาที่ทอประกายแห่งความหวังนิ่ง เขาไม่แน่ใจว่าจะให้คำสัญญากับเธอในเรื่องนี้ได้ไหมเพราะไม่รู้หัวใจตัวเองคิดอย่างไรกับนีรนารา
นอกจากอยู่กับเธอแล้วเขามีความสุข นั่งมองใบหน้าหวานได้ไม่เบื่อ ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้อย่างไม่คิดจะเอ่ยขัด แบบนี้เขาเรียกว่ารักหรือเปล่าปารัชเองก็ไม่อาจตอบได้
“นะคะพี่ปราน ถ้านีรกลับมาเราแต่งงานกันนะ” ยังคงเอ่ยพลางจับมือเขามาเขย่าด้วยความหวังว่าชายหนุ่มจะตอบรับ
“แต่ว่า”
“ถ้าพี่ปรานไม่ตกลงนีรก็ไม่ไป” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและเขาเชื่อว่าหญิงสาวคงทำจริงอย่างที่พูด
คำว่าแต่งงานถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง เขาไม่อาจพูดได้เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะทำตามสัญญาได้หรือเปล่า ไม่อยากพูดเพียงลมปากเท่านั้น
“พี่ปราน..” จนกระทั่งได้ยินเสียงเล็กเรียกอย่างอ้อนวอนเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาหล่อนก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วค่อยลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู สองดวงตาประสานกันนิ่งและตอนนั้นเองที่ปารัชตอบรับด้วยเสียงเรียบทว่าแฝงด้วยความมั่นคง
“ตกลง ถ้าเธอกลับมาพี่จะแต่งงานกับเธอ”
และประโยคนั้นทำให้นีรนาราจำฝังใจมาโดยตลอด เธอไม่มีใครเฝ้ารอแต่เขาเพียงผู้เดียวในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มรักครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยปีหนึ่งด้วยซ้ำ เขาลืมน้องน้อยที่เคยให้คำสัญญาเอาไว้จนหมดสิ้น
และเมื่อเธอกลับมาทวงคืนก็ได้รับเพียงความเย็นชาจากพี่ชายแสนใจดี
แต่หญิงสาวก็ไม่เคยย่อท้อเลยสักนิด ด้วยหวังว่าสักวันเขาจะกลับไปเป็นพี่ปรานคนเดิม และเธอก็จะสลัดคราบนางมารร้ายออกเมื่อเขามีเพียงเธอคนเดียว