บทที่ 5
มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรอจะให้โจลุกขึ้นรับจากเครื่องภายในครัว แต่เมื่อเห็นเขาทำท่าไม่สนใจเธอจึงเดินไปรับเสียเอง
“เฮลโล...ผมขอพูดกับคุณนายอเล็กซานดร้า สมิทหน่อยครับ”
“นี่ฉัน...คุณนายสมิทกำลังพูด”
“นี่ผมโจโทบิ้น พูดนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถโทรศัพท์มาหาคุณนายได้เร็วกว่านี้ คือแม่ผมน่ะครับเกิดเป็นโรคหัวใจขึ้นมา เพราะฉะนั้นผมจำเป็นจะต้องอยู่พยาบาลแม่ก่อนสักระยะหนึ่ง ผมเกรงว่าสำหรับฤดูร้อนปีนี้ ผมคงจะไม่สามารถไปทำงานให้คุณได้หรอกครับ ผมทราบดีครับว่าเรื่องนี้คงทำให้คุณนายต้องลำบากใจอย่างมาก แต่ผมขอโทษจริงๆ ผมหวังว่าคุณนายคงจะเข้าใจนะครับ”
อะไรกันนี่...เธอตวัดสายตามองไปทางครัวทันที แต่ก็ตอบลงไปในโทรศัพท์ว่า
“ค่ะ ฉันเข้าใจ หวังว่าแม่ของคุณคงจะไม่เป็นอะไรมากนักนะ”
ถ้าเช่นนั้นผู้ชายคนที่กำลังนั่งอยู่ในครัวตอนนี้เป็นใครกันเล่า ผู้ชายที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับลูกทั้งสองของเธอ ผู้ชายคนที่ยืนจ้องหน้าพิจารณาเธออยู่ตลอดเวลาคนนั้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “ฉันคงจะพอหาใครมาทํางานแทนคุณได้ขอบใจมากที่อุตส่าห์โทร.มาบอก” เธอพยายามตั้งสติให้มั่นไว้ เมื่อพูดจบก็วางหูโทรศัพท์ลงในที่ของมัน
เธอหันหลังให้โจ...หรือใครก็ตามที่ใช้ชื่อนั้น..อลิกซ์เดินออกจากโต๊ะโทรศัพท์ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเตาผิง อีกครั้ง รู้ดีว่าตัวเองจะต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เมื่อแต่งสีหน้าเรียบร้อยและหันกลับไปมองเขาอีกครั้งก็เห็นว่าโจกำลังจับตามองเธออยู่
อลิกซ์เมินมองไปเสียทางอื่น มือที่จับชั้นเหนือเตาผิงบีบกระชับ รู้สึกแปลบปลาบกับสายตาคู่ที่จรดจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา ปวดร้าวไปทั้งศีรษะ
แม้ว่าเธอจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้ แต่เธอจะโทร.ไปหาใครเล่า เวลานี้สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำอย่างที่สุดคือการตั้งสติให้มั่นไว้ จะต้องใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขณะนี้เธอกับลูกกำลังอยู่กับเขาตามลำพัง เพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดและพอจะให้ความช่วยเหลือได้ก็อยู่ห่างออกไปหลายไมล์
คุณพระช่วย ทำไมเธอจึงได้ทำอะไรอย่างไร้สติเช่นนี้นะ เธอเองเป็นผู้เชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้าน พูดง่ายๆก็คือเชื้อเชิญให้เขาสวมบทบาทของพ่อบ้านคนที่เธอรออยู่ด้วยความ
ร้อนรนกระวนกระวาย ความหวาดกลัวผสมกับความโกรธและการตำหนิตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งเนื้อทั้งตัวด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ
เขาอาจจะเป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนก็ได้... อาจจะเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีมา...
แต่เธอจะยอมให้เขาเห็นความหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่กำลังบังเกิดอยู่ในยามนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เธอจะปล่อยให้เขาใช้ความกลัวของเธอให้เป็นประโยชน์ และจับลูกทั้งสองไว้ไม่ได้แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ อลิกซ์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเผชิญหน้ากับเขา เธอพยายามบังคับตัวเองให้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูครัว เมื่อเธอเอ่ยปากพูดนั้นรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองแปลกเปลี่ยนไปราวกับมิใช่เสียงของตัวเอง
“เด็กๆ ถึงเวลาที่จะออกไปว่ายน้ำกันแล้วไงลูก ชุดว่ายน้ำกับผ้าเช็ดตัวอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนะ เปลี่ยนเสร็จแล้วรอแม่เดี๋ยวนะ พอแม่ออกไปแล้วค่อยลงน้ำ”
ออกจะโชคดีอยู่ที่ลูกทั้งสองมิได้โต้แย้งในคำสั่งของเธอเลย อลิกซ์มองตามร่างคิมเบอร์ลีย์กับมิชเชลที่วิ่งออกไปยังสระว่ายน้ำ จากนั้นเธอปิดประตูลง อาการตื่นตกใจยังปรากฏอยู่ในสีหน้า เมื่อเธอหันไปเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าคนนั้น
“ผมดีใจนะ คุณนายสมิท ที่คุณไล่เด็กๆ ออกไปจากห้องนี้เสียก่อน” เขาจ้องหน้าเธออยู่เช่นเคย และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาเรียกว่า ‘คุณนายสมิท’ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเรียกเธอว่าอลิกซ์มาตลอด
“เอาล่ะ ตอนนี้ผมคิดว่าคุณคงจะต้องมีเรื่องอธิบายให้ผมฟังอย่างมากมายทีเดียวนะครับ และช่วยกรุณาอธิบายด้วยว่า เพราะเหตุใดคุณนายถึงเข้ามาอยู่ในบ้านของเฟอร์เรลล์ได้”
“หยุดนะ...คุณ..” เธอตวาดใส่หน้าเขาทันที ยกมือขึ้นเท้าสะเอวในท่าที่โกรธจัด “คุณนั่นแหละที่จะต้องบอกฉัน ว่าคุณเป็นใครกันแน่”
“ผมก็เป็นเพื่อนของสามีภรรยาเฟอร์เรลล์น่ะสิครับตลอดเวลาผมพยายามจะเงี่ยหูฟังว่า คุณจะเอ่ยชื่อเขาออกมาบ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ยินเลย เพราะฉะนั้นผมจึงไม่คิดว่าคุณจะรู้จักกับสามีภรรยาคู่นี้หรอกนะครับ...และถึงแม้ว่าคุณจะรู้จัก ผมก็เป็นเพื่อนที่มีความสนิทสนมกับเขาดีพอที่จะรู้ว่า เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์อย่างคุณเข้ามาทำอะไรอยู่ในไร่บาร์ เอฟ. นี่หรอก”
โจ ซินแคลร์ ยืนตระหง่านด้วยท่าทางที่มิได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย สายตาประสานอยู่กับดวงตาคู่เขียวเข้มที่กำลังเป็นประกายระยับด้วยความขัดเคือง เขาเคยเห็นการแสดงความโกรธของเธอมาแล้ว แต่ทว่าครั้งนี้ออกจะรุณแรงมากกว่า
อลิกซ์กำมือแน่น และแล้วก็หันหลังเดินกระแทกเท้าปังๆ เข้าไปในห้องทำงาน กระชากลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบอะไรบางอย่างในนั้นออกมา และกระแทกปิดดังปังใหญ่ ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว โจได้ยืนจ้องมองดูการกระทำของเธอเงียบๆ เขารู้ว่าขณะนี้เธอกำลังอยู่ในอารมณ์ที่จะต้องเอาชนะเขาให้ได้
อันที่จริงโจรู้อยู่แก่ใจว่าอลิกซ์มิได้พูดปดกับเขา เธอชื่ออเล็กซานตร้า สมิท แต่โดยสัญชาตญาณเขารู้ดีว่า เธอสามารถจะขจัดความโกรธให้หายไปได้ง่ายกว่าความกลัว เขารู้อีกว่าเธอเป็นคนประเภทเจ้าอารมณ์โกรธง่ายหายเร็ว และการทดลองในครั้งนี้ก็น่าจะได้ผล
เขาแน่ใจว่าตัวเองสามารถจะต่อสู้กับความโกรธของเธอได้ และเห็นอยู่ว่ายิ่งเธอโกรธก็ยิ่งดูสวยน่ารัก แต่เขาไม่สามารถจะทนต่อแววแห่งความหวาดกลัวที่ฉายแสงอยู่ในดวงตาของเธอ โดยเฉพาะตอนที่เธอมองมาจากห้องโถงภายนอกนั้นได้ และในตอนนั้นเองที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าใครคือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับเธอทางด้านปลายสาย ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดเลยไปถึงว่า ถ้าเธอได้รู้ว่าเขามิใช่บุคคลที่เธอต้องการจะว่าจ้างแล้ว เธอจะวาดภาพว่าเขาควรจะเป็นใคร
แต่ในทันทีที่เธอได้รู้แล้วว่าเขามิใช่ โจ โทบิ้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากจะต้องใช้ความคิดแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเขาก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไม่เกิดความหวาดกลัวมากไปกว่านั้น เมื่อเขาได้เอ่ยชื่อเฟอร์เรลล์ออกไป ดูเหมือนมันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ที่เขาได้แสดงให้เธอเห็นว่าตนเองรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้อย่างดี
ในที่สุด อลิกซ์ก็เดินกระแทกเท้ากลับมาในครัว และแล้วก็ยื่นใบขับขี่ให้เขาดูด้วยอาการกระแทกกระทั้น ซึ่งโจก็รับมาดูเป็นครู่ และแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ ว่า
“อะไรกัน คุณอายุ 31 แล้วยังนี่ ผมคิดว่าอย่างเก่งคุณก็น่าจะอายุสัก 28 เท่านั้น”
“ฉันไม่ได้ให้คุณดูเรื่องอายุ” เธอกระแทกเสียงใส่พร้อมกับชี้นิ้วลงตรงชื่อในใบขับขี่นั้น “ฉันให้คุณอ่านชื่อฉันต่างหาก”
“อือม์...ใช่...สมิทจริงๆ ด้วย” เขาทำเสียงราวกับเพิ่งค้นพบความจริงในเรื่องนี้
“ก็ใช่น่ะสิ ตัวอักษรนั่นก็เขียนไว้แล้วว่าสมิท และเพราะว่าฉันไม่มีความสามารถที่จะดูแลไร่นี้ได้ ฉันถึงได้จ้างคุณมาไงล่ะ...” เธอชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวแก้ว่า “ฉันหมายถึงโจ โทบิ้น คนนั้น...” เธอเอากระดาษอีกแผ่นหนึ่งส่งให้เขา “เอ้า...แล้วก็ดูนี่เสีย นี่ล่ะ จดหมายของคุณเฟอร์เรลล์ ซึ่งมันจะบอกอย่างชัดเจนเลยว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ ฉันว่าคุณอ่านจดหมายนั่นเองดีกว่า ฉันไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไรให้คุณฟังมากไปกว่านี้หรอก”