บทที่ 8 ภาพสระน้ำ
“ใช่จ้ะ”
“แม่ไม่ได้ทานข้าวมังคะ แม่ แม่ ตื่นสิคะ”
หญิงสาวจับแขนแม่เขย่าไม่หยุด นิรุทธ์มองมือดาลัด เขาเอื้อมมือไปแตะที่แก้มภรรยาอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากัน ทุกอย่างเป็นปกติแล้วทำไมเมื่อครู่ผิวเนื้อของเพ็ญศรีจึงเย็นเหมือนน้ำแข็ง
สาวใหญ่ลืมตาขึ้นมองคนเรียก ดาลัดยิ้มกับหล่อน ข้างกัน นิรุทธ์กำลังจ้องมองหล่อนอยู่ หล่อนผุดลุกนั่งจ้องหน้าสามีแล้วเอื้อมมือไปแตะแก้มของเขา
“คุณเหรอคะ” หล่อนถามเสียงเครือ
“ผมน่ะสิ อยู่ๆ คุณก็ถอยหนีผมแล้วก็กรี๊ดจนผมตกใจ เป็นอะไรครับ” เขายิ้มจับมือหล่อนไว้
“เอ่อ..ปละ.เปล่าค่ะ ไม่เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรแล้วแม่ร้องทำไมล่ะคะ ดาคิดว่าข้างบ้านทะเลาะกันลงมาข้างล่างกลายเป็นแม่ซะนี่ แม่เห็นอะไรเหรอถึงร้องลั่นบ้านขนาดนั้น”
ดาลัดจ้องหน้าคาดคั้นคำตอบจากแม่ซึ่งเพ็ญศรีไม่สามารถให้คำตอบกับลูกสาวและทุกคนที่กำลังรออยู่ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าหล่อนเห็นอะไรและหล่อนอธิบายไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นภาพหลอนหรือความจริง
“ไม่มีอะไร แค่แน่นหน้าอกก็เลยต้องร้องออกมา” สาวใหญ่จำเป็นต้องโกหก
“หายใจไม่ออกเหรอคุณ ผมว่าไปให้หมอตรวจดีมั้ย ปล่อยไว้ยังงี้ไม่ได้แล้วนะ”
นิรุทธ์คิดว่าเป็นอย่างที่หล่อนพูด
“ค่ะ ฉันจะไปตรวจอยู่เหมือนกันแต่ตอนนี้คุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ เราจะไปงานศพคุณจามรด้วยกัน”
“คุณไปไหวเหรอ ผมว่าพรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณไปอาบน้ำเถอะค่ะ ฉันจะรออยู่นี่ ยัยดาเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะแม่ อารุทธ์ไปอาบน้ำเร็วๆ สิคะเดี๋ยวไม่ทันพระสวดนะคะ” ดาลัดไม่ได้เป็นกังวลกับการเป็นลมของแม่ หล่อนอยากไปงานศพเพื่อทำให้คู่ปรับของหล่อนขายหน้าเท่านั้น
นิรุทธ์เดินขึ้นชั้นบนด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพ็ญศรีเห็นอะไรที่ใบหน้าเขา หล่อนตกใจถอยหนีและร้องกรี๊ดๆ จนสลบ แต่พอฟื้นหล่อนกลับบอกว่าแน่นหน้าอก หล่อนแน่นหน้าอกจริงๆ หรือไม่อยากบอกดาลัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อน
หนุ่มใหญ่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาที่ห้องรับแขก เพ็ญศรียิ้มรอเขาอยู่ หล่อนลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาเกาะแขนเขา
“ไปกันได้แล้วค่ะ ยัยดาไปรอที่รถแล้ว” หล่อนจูงมือเขาก้าวออกจากบ้านพร้อมกัน
ภาพในจอคอมพิวเตอร์ขนาด 17 นิ้วกะพริบขาดๆ หายๆ แล้วดับวูบ ไฟทุกดวงในห้องทำงานของวนัชดับพรึบลงพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงไฟดวงใหญ่กลางห้องแล้วส่ายหน้า ถอนใจยาวตามมา
“มาดับอะไรตอนนี้วะ” เขาบ่นอย่างหงุดหงิด โชคดีที่งานในจอเซฟไว้ก่อนไฟจะดับไม่กี่วินาที
เขาจ้องจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่เข้าใจ ก่อนไฟดับภาพในจอกะพริบขาดหายไปแล้วกะพริบขึ้นอีก ภาพที่เขาเห็นในจอเป็นภาพสระน้ำ ไม่ใช่ภาพที่เขากำลังทำอยู่ เขาจ้องภาพนั้นแต่ไม่ทันเห็นชัดไฟก็ดับ เขามองไปที่โต๊ะกิตติ
“ติ ไฟดับทั้งตึกเลยเหรอ” เขาถามเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะของเขา
“อือ.เดี๋ยวคงมา แกจะกินกาแฟมั้ยฉันจะชงเผื่อ”
“ไม่เป็นไร ฉันชงเองดีกว่า แกไม่ออกไปดูงานเหรอ”
“ไปตอนเย็น ลูกค้าให้ไปดูสถานที่ก่อนแล้วค่อยแต่งห้องทีหลัง มีคนชอบงานแกด้วยนะ เขาบอกออกแบบเท่ไม่ซ้ำใครที่สำคัญแปลกตา เขาอยากให้ฉันแต่งบ้านใหม่เขาตามแบบของแก”
กิตติเดินไปห้องกาแฟซึ่งอยู่คนละด้านกับโต๊ะทำงานโดยมีผนังกั้นแยกคนละส่วนจากโต๊ะทำงานและถัดจากห้องกาแฟลึกเข้าไปด้านในเป็นห้องน้ำมีแผ่นไม้เนื้อหนากั้นไว้ ในห้องทำงานมีเพียงวนัช กิตติและนิสาลักษณ์เท่านั้น
วนัชกลับจากต่างประเทศเพียงไม่กี่วันเขาก็เข้ามาสมัครงานในบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และออกแบบ ดลมนัสเจ้าของบริษัทรับเขาเข้าทำงานโดยไม่มีการสัมภาษณ์ เพียงแค่เห็นงานที่วนัชหอบมาวางตรงหน้าเท่านั้น เขาเชื่อในฝีมือชายหนุ่มผู้นี้
นับจากวันนั้นวนัชจึงได้ร่วมงานกับกิตติ และนิสาลักษณ์พนักงานรุ่นพี่ที่สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีเพราะความมีอัธยาศัยดีของนิสาลักษณ์และความเป็นกันเองของกิตติแต่ที่นิสาลักษณ์กับกิตติไม่ยอมรุ่นน้องเรื่องเดียวคือห้ามเรียกพี่แม้ทั้งสองจะมีอายุมากกว่าวนัช 2 ปีก็ตามซึ่งวนัชยอมรับข้อห้ามนี้ด้วยรอยยิ้มขำๆ
วนัชไม่บอกนิรุทธ์ว่าเขาได้ทำงานแล้ว ไม่ไปหาพ่อที่บ้านแม่เลี้ยง ไม่ติดต่อกับคนบ้านนั้น ความน้อยใจในตัวพ่อยังไม่จางหาย นิรุทธ์ไม่ไปรับเขาในวันที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ไม่มาที่บ้านทานข้าวกับเขา นิรุทธ์ไม่คิดถึงความรู้สึกโหยหาของลูกอย่างเขา ดังนั้นเขาจึงไม่บอกและไม่โทร.หาพ่อแม้เขาอยากโทร.อยากคุยใจแทบขาดก็ตาม
กิตติชงกาแฟเสร็จถอยห่างออกจากเคาน์เตอร์ วนัชก้าวเข้าไปแทน เขาชงกาแฟแล้วเดินตามกิตติออกมานั่งที่โต๊ะตัวเอง กิตตินั่งเก้าอี้ของเขาเช่นกัน
“ยัยลักษณ์เอางานไปส่งตั้งแต่เช้ายังไม่กลับสงสัยลูกค้าเลี้ยงข้าว” กิตติยกกาแฟขึ้นจิบ
“ฉันว่าเลี้ยงข้าวลูกค้ามากกว่าถ้าเป็นชายหนุ่มนะ” วนัชพูดแล้วหัวเราะ
“ฉันก็ว่างั้นแหละ” กิตติเห็นด้วยกับคำล้อเหน็บแนมของวนัช
“ใครนินทาฉันยะ” ประตูห้องถูกผลักเข้ามาพร้อมเสียงห้วนของหญิงสาว หล่อนเดินไปที่โต๊ะตัวเองวางกระเป๋าสะพายและแฟ้มเอกสารลงแล้วเดินมาที่โต๊ะกิตติคว้าถ้วยกาแฟของเขาขึ้นดื่ม
“อ้าวๆ นิสัยๆ หัดไปชงเองบ้างนะแก” กิตติแย่งถ้วยกลับคืน นิสาลักษณ์ยักไหล่แล้วหันไปยักคิ้วกับวนัช
“ชงเองเสียเวลาใช่มั้ยคะนัชสุดหล่อ ลักษณ์คิดถึงนัชจังเลยรู้มั้ย ยิ่งไปเจอหน้าอีตาลูกค้าขี้หลีนะลักษณ์อยากจะวิ่งกลับมาซบอกนัชเลยรู้มั้ย คนบ้าอะไรไม่รู้หน้ายังกับผีดิบยังจะทำเจ้าชู้ไม่เลือก”
“เขาล้อเล่นรึเปล่า” วนัชเอ่ยเป็นกลาง
“ล้อบ้าอะไรล่ะมันคิดจะฟันฉันนะสิ”
“หา..ฟันเชียวเหรอ” กิตติยกถ้วยกาแฟค้าง จ้องหน้านิสาลักษณ์เขม็ง วนัชมองมาแล้วว่า
“เขาเห็นแกน่ารักมั้ง”
“น่ารักแล้วไงนัช น่ารักแล้วคิดจะฟันฉันคืนนี้งั้นเหรอ แกหยุดออกความเห็นได้แล้วไอ้นัชก่อนที่ฉันจะขว้างหัวแกด้วยถ้วยกาแฟไอ้ติเนี่ย”
“อ้าวเฮ้ย ฉันไม่เกี่ยวนะโว้ย” กิตติกอดถ้วยกาแฟ วนัชหัวเราะอย่างอดขำไม่ได้แต่นิสาลักษณ์ไม่ขำด้วย หล่อนมองหน้าวนัชแล้วเดินเลยเข้าไปด้านใน หล่อนหายเงียบเข้าห้องน้ำครู่หนึ่งจึงกลับออกมาเลี้ยวเข้าห้องกาแฟและเดินออกมาหลังจากนั้นไม่กี่นาที
“ตกลงแกขายงานให้เสี่ยนั่นรึเปล่าลักษณ์” กิตติเอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อนสาวนั่งลงที่โต๊ะของหล่อนแล้ว
“ไม่ขาย ไอ้บ้ากามพรรค์นั้นฉันขายให้หมาดีกว่า”
“เฮ้ย ใจเย็นๆ สิ” วนัชค้านเสียงหนัก
“ใจเย็นได้ไงนัช ถ้าแกเป็นฉันแกคงฆ่ามันไปแล้ว” หญิงสาวยังไม่คลายความโกรธ
“มันทำยังไงกับแก” กิตติแทรกขึ้น นิสาลักษณ์ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบแล้วหันมามองคนถาม
“มันบอกว่างานของฉันถูกใจมัน มันจะให้ราคามากกว่าทางบริษัทเรียกไปสามเท่าแต่ฉันต้องไปกินข้าวกับมันแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนฟังเพลงเต้นรำทั้งคืน”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” กิตติยังจ้องหน้าเพื่อนสาวอยู่