บทที่ 14 วิญญาณ ปีศาจ
“ไม่มีใครช่วยฉัน แต่เป็น..เป็น..โอ๊ย ฉันไม่อยากเชื่อ..ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นในยุคอินเทอร์เน็ตยังงี้” หล่อนยกมือปิดหน้าสั่นศีรษะเร็วๆ
“อะไรวะ เป็นอะไร ไม่เชื่ออะไรของแก” กิตติโอบไหล่เพื่อนสาวขณะถาม
“ไม่ใช่คนช่วยแล้วอะไรช่วยแกล่ะลักษณ์ถึงว่ามันประหลาด สัตว์ประหลาดเหรอ” วนัชอยากรู้คำตอบ อาการหวาดกลัวของเพื่อนไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่สัตว์” หญิงสาวปฏิเสธทันที หล่อนมองหน้าคนถาม
“ไม่ใช่สัตว์แล้วอะไรล่ะ” วนัชถามย้ำอีก
“ฉันไม่รู้จะตอบยังไง มัน..มัน..เป็นน้ำ”
“น้ำ.!” วนัชและกิตติร้องพร้อมกันและจ้องหน้าเพื่อนสาว
“แกพูดอะไรของแกลักษณ์ น้ำเนี่ยนะจะช่วยแก” กิตติเอนหลังพิงพนักโซฟา รอยยิ้มบนใบหน้าบอกหญิงสาวให้รู้ว่าเขากำลังว่าหล่อนเพ้อเจ้อ
“ฉันพูดจริงๆ นะติ ฉันเองยังไม่อยากเชื่อ ฉันช็อคเพราะเรื่องนี้แหละ” นิสาลักษณ์ยืนยันกับเพื่อน หล่อนไม่ได้โกหกหรือปั้นเรื่องให้เพื่อนหัวเราะเยาะ
ความเป็นความตายของหล่อนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หล่อนเห็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ตรงหน้า เห็นโดยที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน หล่อนเห็นด้วยตาเปล่าไม่ใช่ฝันแล้วทำไมหล่อนจะไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาล่ะ
“จริงเหรอ” วนัชจ้องหน้าเพื่อนสาว
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกหก มันน่ากลัวมาก ไอ้พวกนั้นมันคง..ตายแล้ว”
“เฮ้ย! ถึงตายเชียวเหรอวะ งั้นเราโทร.บอกตำรวจดีกว่า” กิตติร้องขึ้น วนัชพยักหน้าเห็นด้วย
“ยัยลักษณ์ โทร.แจ้งหนึ่งเก้าหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย”
หญิงสาวไม่รอให้เพื่อนย้ำ หล่อนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเลขฉุกเฉิน หล่อนจำเป็นต้องพูดโกหกว่าหล่อนขับรถผ่านเห็นคนนอนอยู่ไม่กล้าลงไปดูให้ตำรวจไปดูที่เกิดเหตุด้วย แค่นั้นที่หล่อนแจ้งกับตำรวจซึ่งวนัชและกิตติเข้าใจหล่อน ถ้าหล่อนพูดความจริงทั้งหมดหล่อนจะถูกเรียกตัวสอบสวนเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ภายในข้ามคืน
“ขอบใจแกสองคนที่มาช่วยฉัน ถ้าแกไม่มาป่านนี้ฉันคงกองอยู่ที่เดิม”
หล่อนมองหน้าเพื่อนหนุ่มทั้งสองอย่างรู้สึกขอบคุณจากใจ กิตติยิ้ม วนัชยิ้มด้วยแล้วว่า
“ไม่เป็นไร ฉันเป็นห่วงแกตั้งแต่แกออกจากออฟฟิศนั่นแหละ ไอ้ติไม่ยอมเชื่อไม่งั้นฉันก็คงเห็นน้ำช่วยชีวิตแกแล้วแหละ” วนัชหัวเราะเพราะเขาไม่เชื่อว่าน้ำจะสามารถช่วยเพื่อนให้พ้นจากเงื้อมมือของวายร้ายพวกนั้นได้
“ไอ้นัช แกอย่ามาหัวเราะนะนี่ไม่ใช่เรื่องตลก ..ฮึ้ย..ฉันไม่รู้จะบอกแกยังไง เอาเป็นว่าถ้าวันไหนแกเจอด้วยตัวแกเองแกจะรู้ กลับกันได้แล้วฉันจะอาบน้ำนอน เฮ้ย.ไม่อาบดีกว่า ฉันกลัวว่ะ”
ใบหน้าหญิงสาวเหยเก หล่อนมองชามใบใหญ่แล้วขยับถอยมานั่งเบียดกิตติ หล่อนกลัวน้ำในชามหล่อนยังทำใจไม่ได้ ภาพน้ำที่พุ่งขึ้นมาเกี่ยวตวัดรัดลำคอไอ้ลูกน้องเสี่ยอู๊ดยังติดตา ฝังลึกลงไปในความทรงจำ
“พวกแกอย่าเพิ่งกลับได้มั้ย นอนค้างบ้านฉันได้มั้ย ฉันกลัว”
“ยัยลักษณ์แกจะบ้ารึไง นี่บ้านแกนะโว้ย กลัวไปได้ เรื่องแล้วก็แล้วไปอย่าเก็บมาคิดเพ้อเจ้อ ถ้าแกยังกลัวก็เข้าห้องพระสวดมนต์พระท่านช่วยแกได้เชื่อฉัน ไอ้นัชกลับว่ะฉันห่วงนอนแล้ว”
“เฮ้ยติ อยู่ก่อนสิวะ ฉันกลัวจริงๆ นะโว้ย” หล่อนกอดแขนกิตติไว้แน่น
“ติ อยู่เป็นเพื่อนยัยลักษณ์ก่อนก็ได้ฉันจะกลับก่อน” วนัชเข้าใจความรู้สึกของนิสาลักษณ์
“เฮ้ย ไม่เอา ถ้าอยู่แกก็ต้องอยู่ด้วย ถ้ายัยลักษณ์มันเป็นอะไรไปอีกฉันคนเดียวไม่ไหวนะโว้ย”
กิตติโวยทันทีที่วนัชจะกลับเพียงลำพังโดยปล่อยให้เขาอยู่กับนิสาลักษณ์ เขายอมไม่ได้ถ้าเพื่อนสาวเห็นอะไรแปลกๆ อีก เขาคงทำอะไรไม่ถูกกลัวจะเจอเหมือนที่เพื่อนเล่า
“แกจะกลัวอะไร ยัยลักษณ์แค่อยากมีเพื่อนแค่นั้นเอง” วนัชมองหน้าเพื่อนแล้วยิ้ม
“แกอยู่ด้วย ห้ามหนี” นิสาลักษณ์ตัดสินแทนเพื่อน วนัชหันมามองหน้าหล่อน
“ฉันต้องกลับบ้าน พรุ่งนี้จะมาแต่เช้าละกัน”
“มาทำไม ตอนเช้าฉันกับยัยลักษณ์ก็ไปทำงานเจอกันที่ทำงานไม่ดีกว่าเหรอวะ” กิตติขัดขึ้นวนัชยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นยืน
“นั่นแหละเป็นคำตอบที่ฉันต้องการมากที่สุดแหละเพื่อน ไปนะลักษณ์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแกแล้วนะ ไอ้ติดูแลยัยลักษณ์ให้ดีพรุ่งนี้เจอกัน”
“เฮ้ย.” กิตติจะคัดค้านคำของเพื่อน
“ไม่ต้องเฮ้ย ฉันจะแวะดูตำรวจ ป่านนี้คงมาแล้วละ” ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวและกิตติ
นิสาลักษณ์พยักหน้ายอมให้เพื่อนกลับ
“แกโทร.บอกฉันเลยนะนัช ถามตำรวจด้วยไอ้พวกนั้นมันตายรึเปล่า” หล่อนหน้าซีดลงอีก
“เออ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน คราวนี้ไอ้เสี่ยอู๊ดหมดลายแน่”
“ผู้หญิงปลอดภัยอีกหลายคนไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของมัน” กิตติเห็นด้วยกับเพื่อน
วนัชเดินกลับออกมาจากบ้านนิสาลักษณ์ เขาอยากไปเยี่ยมพ่อที่บ้านภรรยาใหม่ของพ่อแต่คืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เขาจะไปดูว่าพ่ออยู่สบายดีหรือไม่ บ้านเพ็ญศรีเลยจากบ้านนิสาลักษณ์เพียง 3 ซอยเท่านั้น นิสาลักษณ์คงไม่รู้จักพ่อของเขาและไม่รู้จักบ้านของเพ็ญศรีเช่นกัน
วนัชขับรถกลับถึงตรงจุดที่เขาช่วยนิสาลักษณ์ มีรถตำรวจจอดอยู่สองสามคัน รถของหน่วยกู้ภัยจอดต่อจากรถตำรวจ เขาขับรถเลยรถของหน่วยกู้ภัยไปช่วงรถแล้วเลี้ยวจอด เขาอยากรู้ว่าผู้ชายที่เขาเห็นนอนแน่นิ่งข้างรถตู้เป็นอย่างไร นิสาลักษณ์มั่นใจว่าทั้งหมดเสียชีวิตแต่อาจไม่เป็นอย่างนั้น เขาเดินเข้ามายืนกับกลุ่มนักข่าวที่เพิ่งรู้เมื่อเข้ามาใกล้คนพวกนี้ รถสองคันจอดหน้ารถตู้คงเป็นของนักข่าวที่กำลังถ่ายภาพอย่างขะมักเขม้นอยู่ในขณะนี้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” วนัชจำเป็นต้องเสแสร้งทั้งที่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“มีคนแจ้งตำรวจครับว่ามีคนนอนอยู่ข้างรถตู้น่าจะเป็นอันตราย พวกเราตามมาดูด้วยก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ตายสอง สาหัสหนึ่ง” นักข่าวหนุ่มตอบโดยไม่มองหน้าคนถาม
“เป็นอะไรครับ ถูกจี้เหรอครับ”
“ยังไม่รู้สาเหตุแต่ทางตำรวจสันนิฐานว่าน่าจะเป็นการขัดผลประโยชน์ตกลงกันไม่ได้ก็เลยฆ่า”
“พวกนี้เป็นใครครับ”
“กำลังตามเจ้าของรถตู้ไม่รู้ว่าชื่อใคร พรุ่งนี้คงรู้ครับคุณคอยอ่านข่าวละกันคุณอยู่แถวนี้เหรอ”
“บ้านพ่อผมอยู่แถวนี้แต่ผมอยู่อีกบ้านหนึ่ง กำลังจะกลับบ้านเห็นรถตำรวจก็เลยแวะดูน่ะครับ”
“คอยตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์พรุ่งนี้นะคุณ”
วนัชยืนมองการทำงานของตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยและนักข่าวอีกครู่หนึ่งจึงเดินกลับไปที่รถระหว่างก้าวผ่านพงหญ้า น้ำใสข้างถนนกระเพื่อมขึ้น หางตาของเขาเห็นชัด เขาเหลียวไปมอง ไฟหน้ารถหน่วยกู้ภัยสว่างพอเห็นข้างทางถึงไม่ชัดแต่ก็เห็นเกือบทั้งหมด เขาหยุดยืนหันไปมอง น้ำกระเพื่อมเป็นวงใหญ่ แล้วจู่ๆ น้ำตรงนั้นก็ยกตัวสูงขึ้นเหมือนมีท่อซ่อนอยู่ใต้น้ำมันสูงเกือบเท่าตัวเขา
“อะไรเนี่ย” ชายหนุ่มจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ฉับพลันน้ำที่พุ่งขึ้นเป็นลำก็ม้วนเป็นเกลียวแบ่งส่วนเป็นรูปร่างของคน วนัชถึงกับจ้องนิ่งดวงตาเบิกกว้าง
“คุณพระช่วย!” เขาอุทานออกมาราวกับคนละเมอ
ใบหน้าใสมองทะลุปุโปร่งเหมือนกำลังยิ้มกับเขา วนัชสั่นศีรษะยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างแล้วลืมตาอีกครั้ง แท่งน้ำที่เป็นรูปร่างคนก็สลายแตกกระจายลงเป็นผืนน้ำริมถนนเช่นปกติ มีเพียงแรงกระเพื่อมเท่านั้นที่ทำให้ชายหนุ่มขนลุก เขาจ้องนิ่งที่คลื่นกระจายออกและกลืนหายไปกับพงหญ้า
เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร น้ำที่เขาเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความคิดที่หลอนตัวเอง เขาคิดถึงนิสาลักษณ์ เพื่อนสาวของเขาพูดจริง หล่อนเห็นจริงๆ น้ำคือผู้ที่มาช่วยหล่อนให้พ้นมือคนชั่วแต่ที่เขาไม่เข้าใจสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรที่เขาเห็น วิญญาณหรือปีศาจ