บทที่ 5
แพตทริคทอดถอนใจหันออกจากระเบียงดาดฟ้าของเรือ “เอนชานเทรสส์” ปกติแล้วเขาจะมีความสุขอย่างยิ่ง เมื่อได้ชมความงามแห่งรังสีสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่ทอดทาบลงบนพื้นน้ำในเวิ้งอ่าวอันไพศาล มันเป็นภาพแห่งความงามอันเรืองโรจน์อย่างยากที่จะหาชมได้ แต่สําหรับค่ำวันนี้เขากลับเต็มไปด้วยความทุกข์ใจอย่างเหลือประมาณ
ทอม โคชแรน ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและต้นหนเข้ามายืนอยู่ข้างหลัง
“จะให้เราออกเรือตอนนี้เลยไหมล่ะ กัปตัน” เขาเอ่ยถามขึ้น โคชแรนเป็นบุรุษผู้มีเรือนร่างล่ำสัน สูงปานกลาง เคราสีเทาปกปิดอยู่ครึ่งใบหน้า “ผมคิดว่ากาลิบคงจะรอต้อนรับเราอยู่คืนนี้”
แพตทริคเพียงแต่พยักหน้าช้า ๆ สุลต่านเป็นเพื่อนร่วมสถาบันในอังกฤษ และกาลิบก็เป็นเพื่อนสนิทที่ดีมากของเขาคนหนึ่ง เพียงแต่ในค่ำคืนนี้ ความคิดที่จะได้รับการต้อนรับในวังมิได้สร้างความตื่นเต้นดีใจให้เกิดขึ้นเหมือนทุกครั้งได้
“ก็เอาสิ ออกคําสั่งให้ออกเรือได้เลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว
เมื่อสั่งเสร็จแล้ว เขาก็เดินลงบันไดไปยังดาดฟ้าชั้นล่าง และเดินเลยเข้าไปในเคบินส่วนตัวซึ่งเป็นเพียงห้องเล็กๆ ภายในห้องประกอบด้วยเตียงนอนแคบๆ ตู้ใส่เสื้อผ้า โต๊ะทํางานกับเก้าอี้เพียงตัวเดียว บนผนังห้องเต็มไปด้วยชั้นจรดเพดานและบนชั้นนั้นก็อัดแน่นอยู่ด้วยหนังสือ เขามิได้เปิดไฟขึ้น แต่ทิ้งร่างลงนั่งในเก้าอี้พร้อมกับทอดถอนใจ
เขาได้ยินเสียงลูกเรือที่กําลังตะโกนกันอยู่โหวกเหวก ได้ยินเสียงโซ่สายสมอที่ถูกกว้านขึ้น แต่สมองกลับหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวไปคนนั้น มันมีอะไรในตัวเธอหรือที่รบกวนจิตใจเขาถึงขนาดนี้…
อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่หญิงสาวจะถูกลักพาตัวไปจากย่านตลาดที่สับสนอลหม่านอยู่ด้วยผู้คน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดอยู่ทั่วทุกมุมโลก และส่วนใหญ่หญิงสาวเหล่านั้นเมื่อถูกลักพาตัวไปแล้วก็จะไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเธออีกเลย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาตรงท้ายทอย ทําให้เขาถึงกับสบถออกมา มือปัดไปถูกหนังสือเล่มหนึ่งหล่นลงบนพื้นห้อง
มีเสียงเคาะดังขึ้นตรงหน้าประตู…
“เข้ามา” แพตทริคออกคําสั่งด้วยน้ำเสียงห้วนห้าว รู้ดีว่าถ้าเขาไม่พูดอะไรออกไป เสียงเคาะจะไม่มีทางหยุดลงได้
ปรากฏว่าผู้ที่เดินถือถาดอาหารเข้ามาให้คือ ทอม โคชแรน
“เฮ้...เห็นกับสายตาคนแก่หน่อยเถอะ ช่วยเปิดไฟหน่อยสิ” ต้นหนผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือเอ่ยขึ้น “ในนี้มันมืดยิ่งกว่าถ้ำปีศาจอีกนะ”
แพตทริคเอื้อมมือไปกดสวิทช์โคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทํางาน ดึงสายเปิดปล่องระบายอากาศ เขารู้ว่าสีหน้าของตนเองในยามนี้ เป็นสีหน้าของผู้ที่ไม่ต้องการให้เข้ามารบกวนใคร
“คุณกังวลใจเรื่องอะไร” โคชแรนถาม วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ “หรือว่าวันนี้ออกไปที่ซุคแล้วไม่พบนางระบําคนที่หมายตาไว้”
ความรู้สึกละอายใจเกิดขึ้นกับแพตทริค ทั้งที่หาสาเหตุไม่ได้ว่าเนื่องมาจากอะไร เขายังเป็นหนุ่มโสด และเขาก็มิได้ทรยศหักหลังต่อผู้ใดเมื่อตามนางระบําคนนั้นเข้าไปในเต้นที่อันเป็นที่พักอาศัยของหล่อน และยังหาความสําราญจากความเป็นผู้หญิงของหล่อนอย่างเต็มที่ด้วย
“พบ” เขายอมรับไปตามตรง หลบตาลงมองถาดอาหาร ซึ่งมีสตูว์เนื้อแกะ ขนมปังสีน้ำตาล และชา...อาหารที่กินกันอยู่อย่างซ้ำซาก
โคชแรนเปล่งเสียงหัวเราะลึกอยู่ในลําคอ ยกมือขึ้นกอดอก พิงร่างอยู่กับตู้เสื้อผ้าอย่างสบายอารณ์ ทั้งที่มิได้รับเชิญให้อยู่เป็นเพื่อนสนทนา
“อย่าบอกผมนะว่าแม่สาวนั่นปฏิเสธคุณ”
แพตทริคไม่ตอบ เขาได้แต่มองหน้าโคชแรนอยู่เงียบ ๆ หยิบขนมปังขึ้นมากัดและเริ่มลงมือกินอาหาร
“เออ...สงสัยว่าผมเองคงเสียสติไปแล้ว” โคชแรนว่า “ลืมเสียสนิทว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะปฏิเสธแพตทริค เทรวาร์เรน ได้ เอาละ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับนางระบําคนนั้น แล้วเรื่องอะไรล่ะที่ทําให้คุณดูเป็นทุกข์เป็นร้อนมากมายขนาดนี้”
แพตทริคเลื่อนถาดอาหารตรงหน้าออกห่าง โยนขนมปังในมือตามลงไป
“โลกนี้ มันเป็นโลกที่ไร้ความเมตตาอย่างที่สุด” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“เฮ้...” สีหน้าของต้นหนบอกความแปลกใจอย่างยิ่ง “พูดอย่างนี้แสดงว่ามันมีอะไรอยู่ในใจไม่ต้องสงสัยเลย ในจิตใจคุณตอนนี้สงสัยไม่ได้มีแต่กลีบกุหลาบกับปีกนางฟ้าเสียแล้วละ” โคชแรนนั้นแตกต่างกว่ากะลาสีทั้งหลาย ตรงที่เขาเป็นบุคคลที่มีการศึกษา และเท่าที่แพตทริครู้ ครั้งหนึ่งโคชแรนเคยเป็นครูอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งมาแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เพื่อนรักคนนี้ไม่เคยเล่าให้เขาฟังว่าเพราะเหตุใดจึงยึดอาชีพที่ออกมาลอยล่องอยู่กับท้องทะเลเช่นนี้เท่านั้น
แพตทริคยกมือขึ้นบีบนวดท้ายทอย หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องการลักพาตัวที่เกิดขึ้นที่ซุคในวันนี้ให้โคชแรนฟัง เพียงแต่มิได้เล่าถึงว่า เขามีความรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น ราวกับเคยรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น
“แพตทริค คุณไม่มีทางที่จะให้ความช่วยเหลือผู้หญิงพวกนั้นได้ทั้งหมดหรอก” โคชแรนเอ่ยขึ้นภายหลังจากที่แพตทริคเล่าเรื่องจบลง “ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงบางคนที่ถูกลักพาตัวไป ก็มีความเป็นอยู่ดียิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำไป คนที่รูปร่างหน้าตาสวยถึงขนาดมีสาวใช้ประจำตัวทีเดียวนะ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยงาม มีเพชรนิลจินดาประดับเนื้อตัว เรื่องแบบนี้เราก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วนี่”
แพตทริคพยายามสงบระงับอารมณ์ไว้ด้วยความยากลําบาก เขาไม่มีวันที่จะทําให้โคชแรนเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษสําหรับครั้งนี้ และโคชแรนก็วางมือลงบนไหล่กัปตันหนุ่ม
“ผู้หญิงคนนั้นสวยมากนักหรือ”
“สวย” แพตทริคตอบห้วน ๆ
“งั้นเขาก็จะไม่เป็นอะไรหรอก” ต้นหนรับรอง ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้น
แพตทริคเหยียดเท้าขึ้นไว้บนโต๊ะทํางาน เอนศีรษะอยู่กับพนักเก้าอี้ อาการปวดศีรษะดูจะหนักหน่วงขึ้น แต่เปลือกตาไม่ยอมปิด เขายังมองเห็นดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทองนั้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาคู่ที่ประสานอยู่กับเขากลางตลาดเมื่อตอนเช้า
เมื่อทบทวนความทรงจําต่อไป แพตทริคก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อประมาณปลายปี 1966-67 เขากับลุงได้จอดทอดสมอเรืออยู่ที่ท่าเทียบเรือในเมืองซีแอตเติ้ล ได้พักอยู่ที่นั่นสองสามวัน นอกจากจะเพื่อการขนสินค้าที่บรรทุกมาจากแคลิฟอร์เนียและจากภาคตะวันออกแล้ว ยังจะต้องร่วมงานเลี้ยงรับรองที่มิตรสหายของลุงจัดขึ้นด้วย
เขากลับมาที่เรือในตอนบ่ายวันหนึ่ง ภายหลังจากที่เจรจาเรื่องการค้ากับพ่อค้าในซีแอตเติ้ลเสร็จเรียบร้อย เมื่อมองขึ้นไปยังเสากระโดงเรือ ก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งขึ้นไปห้อยโหนอยู่บนสายระยาง
เขาตะโกนเรียกให้เธอลง และเธอก็ตะโกนตอบลงมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า ไม่กล้าขยับตัว ทําให้เขาต้องปีนป่ายขึ้นไปเอาตัวเธอลง และหลังจากนั้นก็ได้พูดคุยกันสองสามคํา
แพตทริคอาจจะจําชื่อเธอไม่ได้ แต่ดวงตาสีน้ำตาลแกมทองคู่นั้นแฝงลึกอยู่ในจิตใต้สํานึกตราบจนทุกวันนี้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้ว่า เด็กสาวคนนั้นได้มาเดินท่องเที่ยวอยู่ในดินแหนแห่งนี้ แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ในเวลาเดียวกันด้วย…
เขาทุบโต๊ะด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อาจให้ความช่วยเหลือเธอไว้ได้ และหวาดหวั่นว่ามันอาจจะเป็นความจริงขึ้นมา...
หลังจากเวลาผ่านไปสามวัน ชาร์ลอตต์ก็ไม่อาจจดจําได้ว่ามันเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนอีกต่อไป เธอจะได้กินอาหาร ดื่มน้ำ และเข้าห้องน้ำบ้าง แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ผ้าคลุมหน้าหายไปนานแล้ว เครื่องแต่งกายชุดที่ขอยืมมาเหนียวหนับอยู่กับเนื้อตัว ขาดวิ่นและสกปรก เนื้อตัวร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ และยิ่งเวลาผ่านไป รอยฟกช้ำดําเขียวตามร่างกายก็เพิ่มอาการปวดระบมขึ้นแทนที่จะค่อยคลายลง
ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอเลย ซึ่งเรื่องนี้นับว่าพอจะเป็นสิ่งปลอบใจได้ประการหนึ่ง เธอสามารถอดทน ต่อความหิวกระหายน้ำ และความไม่สะดวกสบายต่าง ๆ ได้ รวมทั้งกระเพาะปัสสาวะที่แทบระเบิด แต่ความคิดว่าตนเองจะต้องถูกข่มขืนนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นกลัวให้เกิดขึ้นมากกว่า
เมื่อผู้คุมเดินเข้ามาในห้องของเธอในค่ำคืนวันหนึ่ง กระชากร่างเธอขึ้นจากพื้นเช่นทุกครั้ง ชาร์ลอตต์ก็รู้ว่า บัดนี้ความโชคดีของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว ความรู้สึกสิ้นหวังเข้ามาครอบงําอยู่ในหัวใจ ไม่มีทางที่เธอจะเอาชนะผู้คุมคนนี้ได้ เพราะถ้าเธอขัดขืน เขาก็จะตบตีเหมือนที่เคยทำ
เธอมีความรู้สึกว่ามีถุงใหญ่ครอบลงบนเรือนร่าง เมื่อเพ่งสายตามองออกไปตามรอยแยกของเส้นป่านที่ถักทอ พอจะมองเห็นแสงสว่างได้ แต่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอเห็นผู้ชายหลายคนจับกลุ่มกันอยู่
พวกเขากําลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเมื่อใครบางคนชนะไพ่ที่กําลังเล่น ความคั่งแค้นใจที่เกิดขึ้นกับเธอในยามนี้ ทําให้ชาร์ลอตต์อยากตะโกนด่า ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ ใจร้ายยิ่งกว่าสัตว์นรก แต่ก็พบว่าตนเองยังถูกผูกปากไว้ และครู่ต่อมา ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อได้ตระหนักว่า เนื้อตัวเปลือยเปล่าอยู่ในกระสอบใบนั้น
การพนันยังคงดําเนินต่อไป และชาร์ลอตต์ก็ผล็อยหลับไปด้วยความเจ็บปวดและอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวขึ้น ตอนที่กระสอบที่ห่อหุ้มร่างเธอถูกยกขึ้นบนไหล่ของใครคนหนึ่ง เธอพยายามดิ้นรน แต่ดูจะเป็นที่ขบขันของอาหรับคนนั้น เพราะเขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“อา...ผู้หญิงคนนี้เก่งกล้าไม่น้อยเลยละ” เธอได้ยินคําพูดภาษาอังกฤษสําเนียงอเมริกันอย่างชัดเจน “ราฮีมไม่ค่อยสบายใจนักหรอกที่เอาผู้หญิงคนนี้มาเป็นเดิมพันแล้วต้องแพ้คุณ แต่อย่างน้อยมันจะช่วยให้อารมณ์ของกัปตันดีขึ้นได้บ้าง สี่วันที่ผ่านมานี่อารมณ์เสียตลอดเลย”
อเมริกัน...ชาร์ลอตต์คิดอยู่ในใจ ความโล่งใจที่เกิดขึ้นในยามนี้แทบจะทําให้เธอเป็นลม ต่อไปนี้เธอมีทางที่จะอธิบายได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเธอจะได้เดินทางกลับบ้านเสียที และรับรองว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ที่นั่น...
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ ชาร์ลอตต์ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น อีกครั้งหนึ่งที่เธอสัมผัสความโคลงเคลงที่เกิดอยู่กับเรือ
“ว่าไง” เธอได้ยินเสียงที่ตอบออกมาจากข้างใน เสียงที่มิได้บอกการต้อนรับเลยแม้แต่น้อย
“ผมเอาอะไรบางอย่างมาให้ครับกัปตัน” ผู้ชายคนที่แบกร่างเธออยู่ตอบออกไป “เป็นของขวัญจากผมและ ลูกเรือทุกคนที่อยากเห็นคุณอารมณ์ดีขึ้นไงล่ะ”
มีเสียงประตูเปิด ความรู้สึกที่เกิดกับชาร์ลอตต์ในยามนี้ทั้งตื่นเต้นคละเคล้าอยู่กับความหวาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่าขณะนี้ ร่างกายเธอไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่เลย สิ่งที่เธออยากทําอย่างที่สุดคือ อาบน้ำสระผมให้ร่างกายสะอาดหมดจดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไรกระสอบใบนี้ถูกเปิดออก ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกจะต้องได้เห็นภาพไม่น่าดูที่สุดในชีวิต
กระสอบที่บรรจุร่างเธอไว้กระแทกลงกับพื้นห้อง เธอรู้สึกอยู่ว่าเชือกที่ผูกปากกระสอบถูกดึงออก และพอมันถูกกระชากเพื่อเปิดเผยเนื้อตัวเธอนั้น ชาร์ลอตต์ก็ดึงไว้อย่างเหนียวแน่นเพื่อปิดบังร่างกายตนเอง
เมื่อเธอกล้าหาญพอที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบตัวเองที่ประสานสายตาอยู่กับดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้มของแพตทริค เทรวาร์เรน...