บทที่ 4
เธอมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับมาขังไว้ในโพรงอันมืดดํา ที่มีหนูวิ่งพล่าน กลิ่นเหม็นอับลอยอบอวลอยู่ใต้จมูก ปวดร้าวในศีรษะราวถูกฟาดด้วยท่อนไม้ อาการคลื่นเหียนสร้างความปั่นป่วนให้เกิดอยู่ในช่องท้อง อาการปวดระบมที่เกิดอยู่กับร่างกายบอกให้รู้ว่าเนื้อตัวเขียวช้ำไปทั่ว
ชาร์ลอตต์อยากจะอาเจียน แต่ก็ต้องพบว่าตัวเองถูกผูกปากไว้ เมื่อเธอขยับมือจะเอาผ้าที่ผูกปากออกจึงได้รู้ว่ามือทั้งสองข้างถูกมัดไว้เช่นกัน หยาดน้ำตาแห่งความคั่งแค้นเอ่อท้นขึ้น
เป็นยังไง...อยากผจญภัยนักไม่ใช่หรือ... เธอกราดเกรี้ยวอยู่กับตัวเอง...แล้วในที่สุดผลที่ได้รับมันเป็นยังไงบ้างล่ะ...
ความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่พานพบแทบจะทําให้เธอคลั่ง แต่ชาร์ลอตต์จะไม่ยอมแพ้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด เธอรู้ว่ามันเป็นความสําคัญอย่างยิ่งที่จะต้องไม่แสดงความตื่นตกใจออกมา บอกตัวเองว่าเธอจะต้องใช้ความคิดด้วยความใจเย็น หาลู่ทางที่จะหลบหนีต่อไป
แต่ขณะเดียวกันเธอก็เป็นห่วงเบตติน่าอย่างเหลือกําลัง คําถามแรกที่เกิดขึ้นในใจก็คือพวกโจรสลัดจับตัวเบตติน่าไปด้วยหรือเปล่า...
ชาร์ลอตต์ขนลุกเมื่อคิดถึงว่าเด็กสาวผู้นั้นจะตื่นตระหนกสักแค่ไหนถ้ามันมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง และความละอายใจก็แทบจะทําให้เธอสิ้นหวัง ถ้าเบตติน่าได้รับอันตรายในครั้งนี้ มันจะต้องเป็นความผิดของชาร์ลอตต์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเธอเป็นคนเกลี้ยกล่อมเบตติน่าให้ออกมาเที่ยวซุคด้วยกันในครั้งนี้ ผลร้ายที่เกิดตามมาเหลือจะคาดคิดได้...
อีกครั้งหนึ่งที่ชาร์ลอตต์บังเกิดความรู้สึกผะอืดผะอม อยากจะอาเจียนออกมาอย่างที่สุด แต่ก็จำต้องกล้ำกลืนลงไว้ ถ้าเพียงแต่เธอจะใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางทีเธออาจจะหาตัวเบตติน่าพบ และหลังจากนั้นเธอกับเพื่อนสาวก็จะหาทางหลบหนีจากผู้ที่จับกุมตัวไว้ แต่บางที...มันก็มีความเป็นไปได้ที่ว่า เธออาจไม่มีโอกาสได้พบหน้าเพื่อนรักผู้นั้นอีกแล้ว...
ภาพอันน่าตื่นกลัวบังเกิดขึ้นในจินตนาการของชาร์ลอตต์ ก่อนหน้านี้ บ่อยครั้งที่เธอวาดภาพอันสดสวยด้วยสีสันว่าตนเองเป็นหญิงสาวในฮาเร็มคนหนึ่ง โดยมีแพตทริค เทรวาร์เรน เป็นสุลต่าน มันเป็นความคิดเพ้อฝันที่ปราศจากอันตรายซึ่งเกิดกับผู้หญิงในวัยสาวทุกคน แต่การที่จะต้องมาพบตนเอง ในสภาพนางทาสผิวขาวนั้นมันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันที่จะวาดภาพให้เห็นตนเองเป็นหญิงสาวผู้มีความสุขไปได้
ทั้งนี้เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เธอไม่มีทางที่จะถูกขายให้ไปเป็นสมบัติของผู้ชายคนที่เธอเฝ้าฝันถึงเขามาตั้งแต่เริ่มเป็นสาววัยรุ่น ความเป็นไปได้มันอยู่ตรงที่ว่าเธอน่าจะถูกขายไปเป็นโสเภณีในซ่องไหนสักแห่งที่เจ้าของซ่อง ผู้ชายชาวอาหรับหน้าตาน่ากลัว บังคับใช้แรงงานและร่างกายของเธอยิ่งกว่าทาส สภาพชีวิตของเธอจะไม่ต่างไปกว่าสุนัขตัวหนึ่ง
ชาร์ลอตต์คิดไปถึงบ้านแสนสุขของตนเองที่เควด’ส ฮาเบอร์ บ้านที่ตั้งอยู่บนฝั่งแห่งเวิ้งอ่าว พูเก้ท์ ซาวด์อันเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้ พ่อของเธอมีโรงเลื่อยจักรที่ใหญ่ที่สุดแห่งวอชิงตัน
บริกแฮม เควด เป็นบุรุษผู้มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ไม่เคยใจอ่อนกับเรื่องไร้สาระ ซึ่งชาร์ลอตต์ไม่เคยคิดสงสัยในความรักของพ่อที่มีต่อตัวเธอเลย ทั้งเธอและมิลลิเซ้นท์น้องสาวต่างรู้กันอยู่ ว่าพ่อยินดีที่จะเสียสละแม้ ชีวิตของตนเองก่อนที่จะยอมให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเธอทั้งสอง และเพราะความมั่นใจในสิ่งนี้ที่ทำให้เธอมีความมั่นใจในตนเองและเชื่อมั่นว่าจะต้องปลอดภัยเสมอ
ลิเดียมารดาเลี้ยงของเธอทั้งสอง ได้สั่งสอนอบรมให้มิลลิเซ้นท์และชาร์ลอตต์เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็ง จะต้องไม่หวาดกลัวกับการเสี่ยงเพราะมันเป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิตที่จะแสดงออกถึงสติปัญญาความสามารถ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ชาร์ลอตต์ได้ปฏิบัติตามนั้นและได้รับผลดีทุกครั้ง
จนกระทั่งมาถึงเช้าวันนี้...ถ้ามันจะเป็นช้าวันนี้จริง ๆ...ที่เธอได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบสตรีชาวอาหรับ พรั่งพร้อมด้วยผ้าคลุมหน้า และออกไปเดินท่องเที่ยวอยู่ในย่านซุค
ชาร์ลอตต์มองเห็นภาพมิลลี่ น้องสาวผู้แสนสวย ซึ่งอยู่ในชุดแต่งงานตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ดวงตาเปล่งประกายแห่งความรักและความสุข และเธอก็ยังมองเห็นภาพน้องชายอีกห้าคน หวนหาด้วยความอาลัย ชื่อของแต่ละคนผ่านเข้ามาในดวงความคิด...เดวอน, เซธ, กิเดียน, จาคอบและแมทธิว
มันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ว่าเธออาจจะมิได้พานพบสมาชิกในครอบครัวต่อไปอีกแล้ว ที่เลวร้ายไปกว่านั้น บุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลายจะต้องเป็นทุกข์ เต็มไปด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจกับการที่เธอหายตัวไปเช่นนี้ และถ้าเบตติน่าต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอแล้ว พ่อแม่ของเธอจะต้องหัวใจสลาย เพราะครอบครัวนี้มีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว และเพราะการกระทําของชาร์ลอตต์นั่นเอง ที่ทําให้พวกเขาต้องสูญเสียลูกสาวสุดที่รักไป
ความรู้สึกสิ้นหวังเข้ามาครอบงําจิตใจชาร์ลอตต์ไว้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ขณะเดียวกันมันก็มีสิ่งที่เธอจะต้องให้ความสนใจมากกว่าเกิดขึ้น
เธอได้ยินเสียงบานพับประตูดังลั่นขึ้น แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในความมืด และแล้วก็มีผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาแต่งกายแบบชาวอาหรับ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ชาร์ลอตต์จะมองเห็นได้ในความสลัว
หัวใจของเธอเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัวและความคั่งแค้น เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้กระชากร่างเธอขึ้นจากพื้นห้อง และกระชากผ้าที่ผูกปากไว้ออก จากนั้นก็กระแทกถ้วยที่มีน้ำอุ่น ๆ เข้ามาให้ตรงปาก
ชาร์ลอตต์พยายามสะกดอารมณ์ของตนเอง กล้ำกลืนทุกสิ่งที่อยากจะพูดลงไว้ แม้จะมีคำถามมากมายอยากจะเอ่ยถามออกไป หยาดเหงื่อลามไหลอยู่ทั่วเนื้อตัวด้วยความร้อนภายในห้องอันอบอ้าวนี้
“แกเป็นใคร” เธอเอ่ยถามออกไป ภายหลังจากที่ดื่มน้ำร้อน ๆ นั้นเข้าไปแล้ว
ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาอาหรับ และแม้ชาร์ลอตต์จะไม่เข้าใจในภาษาที่เขาพูด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอจับสังเกตได้ คือผู้ที่จับตัวเธอมานั้นมิได้แสดงออกถึงความประสงค์ร้าย เขาเพียงแต่มิได้แสดงความยินดียินร้ายกับสภาพของเธอมากกว่า
“ที่นี่เป็นที่ไหน” เธอเอ่ยถามออกไป “แล้วทําไมถึงต้องจับตัวฉันมาขังไว้ที่นี้ด้วย”
ผู้คุมคนนั้นตวาดกลับมาเป็นภาษาอาหรับ ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจเช่นเดียวกับในตอนแรก แต่ก็พอจะรู้อยู่ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอซักถามอะไรทั้งสิ้น
และเพื่อเป็นการยืนยันในความตั้งใจ เขาได้เอาผ้าผูกปากเธอไว้อีกครั้ง ดูจะผูกให้แน่นขึ้นกว่าเดิมด้วย ผ้าสกปรกผืนนั้นบาดอยู่ตรงมุมปาก เมื่อเสร็จสรรพแล้วเขาก็ผลักร่างเธอล้มลงบนพื้นห้อง
และเป็นครั้งแรก ที่เธอเริ่มสัมผัสกับควารู้สึกบางอย่างที่ทิ่มแทงเข้ามาในท่ามกลางความรู้สึกหวาดกลัว และความคั่งแค้นใจ กับอาการโยกตัวของพื้นห้องนั้น ทําให้ชาร์ลอตต์รู้ว่าที่คุมขังแห่งนี้อยู่บนเรือลําหนึ่ง แม้จะสบายใจขึ้นบ้างว่าพอจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่มันมีความจริงประการหนึ่งที่เธอจะต้องเผชิญ นั่นก็คือ การหลบหนีจะเป็นไปด้วยความยากลําบากยิ่งขึ้น
ชาร์ลอตต์บังคับตนเองให้สูดลมหายใจลึกเข้าไว้และระบายผ่านผ้าออกมาช้าๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เธอจะต้องใช้ความใจเย็นอย่างที่สุด จะต้องไม่เสียอารมณ์หรือแสดงความกลัวออกมาให้ใครเห็น
ความร้อนอบอ้าวภายในห้องแคบ ๆ นี้เหลือจะทน ขณะนี้เมื่อชาร์ลอตต์ได้รับรู้แล้วว่า ตนเองถูกกักขังอยู่ในสถานที่แห่งใด เธอจึงเฝ้าอธิษฐานขอให้มีปาฏิหาริย์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
และขอให้มันเกิดขึ้นในเวลาอันไม่ช้าไม่นานนี้ด้วย...